คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3055/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่1กล่าวแต่เพียงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังตามที่ศาลพิพากษาหากมีการพิจารณาใหม่แล้วจำเลยที่1จะมีโอกาสแสดงพยานหลักฐานว่าจำเลยที่1ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องและชนะคดีได้โดยมิได้กล่าวว่าพยานหลักฐานใดของโจทก์ที่ไม่พอฟังให้จำเลยที่1ต้องรับผิดตามฟ้องและมิได้กล่าวถึงพยานหลักฐานของจำเลยที่1ว่ามีอย่างใดบ้างที่จะทำให้จำเลยที่1ชนะคดีได้อีกทั้งไม่กล่าวถึงคำตัดสินชี้ขาดของศาลว่าไม่ชอบประการใดคำขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่1เป็นคำขอที่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลจึงไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208วรรคสองศาลไม่อาจมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันอ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนจำนวน 800,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ 435,000 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 3,924 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน438,924 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ค่าติดตามรถยนต์คืน 2,000 บาท และค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ 15,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คันเช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน 710,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์ 353,924 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 12,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งรถยนต์คันเช่าซื้อคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์ จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 จำเลยที่ 1มาทำธุระที่กรุงเทพมหานครและพบคำบังคับของศาลตกอยู่ที่รั้วบ้านเลขที่ 93/1 หมู่ที่ 4 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร จึงทราบว่า จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องศาลพิพากษาและออกคำบังคับแล้วด้วย แต่หากได้มีการพิจารณาใหม่จำเลยที่ 1 ก็จะได้มีโอกาสแสดงพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย และจำเลยที่ 1 จะชนะคดีในที่สุด ขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 มิได้คัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใด เพราะเหตุใดและไม่ได้แสดงให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีเหตุอย่างไร ที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายชนะคดี หากมีการพิจารณาใหม่คำร้องของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ประการแรกว่า อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายอันควรรับไว้พิจารณาหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 มิได้บรรยายเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำขอบังคับและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น รวมทั้งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยละเอียดเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ จึงไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 นั้น ตามคำฟ้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 บรรยายว่าเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างเหตุว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบยังไม่พอฟังตามที่ศาลพิพากษา หากศาลกรุณาให้พิจารณาคดีใหม่แล้วจำเลยที่ 1 จะได้มีโอกาสแสดงพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดตามฟ้อง นอกจากนี้ยังได้แสดงอ้างเหตุคัดค้านคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามคำร้องมิได้คัดค้านว่าคำตัดสินของศาลไม่ถูกต้องหรือไม่ประการใด เพราะเหตุใด และไม่ได้แสดงให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีเหตุอย่างใดที่ศาลจะพิพากษาให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีเมื่อมีการพิจารณาคดีใหม่ คำร้องของจำเลยที่ 1จึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208(2)ยกคำร้อง และจำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1ดังกล่าวได้บรรยายเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำขอบังคับ และคำพิพากษาศาลชั้นต้นรวมทั้งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นโดยละเอียดพอสมควรแล้วจึงเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น สำหรับปัญหาที่ว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก ในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 กล่าวแต่เพียงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังตามที่ศาลพิพากษา หากมีการพิจารณาใหม่แล้ว จำเลยที่ 1จะมีโอกาสแสดงพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องและชนะคดีได้ โดยมิได้กล่าวว่าพยานหลักฐานของใดของโจทก์ที่ไม่พอฟังให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามฟ้อง และมิได้กล่าวถึงพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ว่ามีอย่างใดบ้างที่จะทำให้จำเลยที่ 1ชนะคดีได้ อีกทั้งไม่กล่าวถึงคำตัดสินชี้ขาดของศาลว่าไม่ชอบประการใดคำขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 เป็นคำขอที่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้ง ซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลจึงไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสองจึงไม่อาจมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share