คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3175/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่ากรรมการบริษัทโจทก์ที่ลงชื่อฟ้องคดีมีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทในวงเงินไม่เกินหนึ่งแสนบาท ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินเกินหนึ่งแสนบาท นั้น เป็นปัญหาระหว่างบริษัทกับกรรมการ ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น จึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้
จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างหน้าที่พนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุนอกเวลาราชการ จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2 ขับรถนำข้าวสารไปเก็บที่สวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 3 ไปนอนเฝ้าเป็นประจำ ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยที่ 1 ก็อนุญาตด้วย ระหว่างขับรถกลับมาเก็บที่กรมจำเลยที่ 1 ตามระเบียบ จำเลยที่ 3 ได้ขับด้วยความประมาทชนรถโจทก์เสียหายจึงถือได้ว่าอยู่ระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 ทำงานส่วนตัวให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยได้รับเงินรางวัลบ้างเป็นครั้งคราวตามอัธยาศัย ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 ในกิจการดังกล่าว จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ก่อ ในฐานะนายจ้างดังโจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นกรมในรัฐบาลและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บังคับบัญชาและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๓ ในกิจการส่วนตัววันเกิดเหตุจำเลยที่ ๓ ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑, ที่ ๒ ด้วยความประมาทชนรถของโจทก์ได้รับความเสียหายขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๓๖,๑๖๐ บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่า หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ขับรถไปใช้ธุระส่วนตัวนอกเวลาราชการเป็นการฝ่าฝืนระเบียบ และเหตุรถชนกันเกิดขึ้นจากความประมาทของฝ่ายโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า อำนาจกรรมการผู้ลงชื่อฟ้องคดีแทนโจทก์ไม่ถูกจำกัดให้ฟ้องได้ไม่เกินหนึ่งแสนบาท จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ขับรถประมาทฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่นายจ้างของจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องร่วมรับผิด จำเลยที่ ๑ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดในมูลละเมิดซึ่งจำเลยที่ ๓ ก่อขึ้นในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑, ที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๑๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เกิดเหตุระหว่างจำเลยที่ ๓ นำรถไปใช้นอกเวลาราชการจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องร่วมรับผิด แต่จำเลยที่ ๓ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ในกิจการส่วนตัว และเกิดเหตุในขณะกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๓ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๓ รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ ๓ เป็นฝ่ายประมาท และวินิจฉัยว่าค่าเสียหายของรถโจทก์เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทกับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ว่ากรรมการที่ลงชื่อฟ้องคดีมีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทในวงเงินไม่เกินหนึ่งแสนบาท แต่ฟ้องเรียกร้องเกินหนึ่งแสนบาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเห็นว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะอำนาจของกรรมการถูกจำกัดด้วยจำนวนวงเงินที่จะลงชื่อผูกพันบริษัทจึงมิได้เป็นข้อว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและเป็นเรื่องระหว่างบริษัทโจทก์กับกรรมการ ไม่เกี่ยวกับบุคคลทั่ว ๆ ไป จึงมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
สำหรับฎีกาโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ ๑ ร่วมรับผิดด้วยนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๓ ไปนอนเฝ้าสวนกล้วยให้จำเลยที่ ๒ ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุสองเดือนบางครั้งก็ขับรถคันเกิดเหตุไปเก็บค้างคืนไว้ที่สวน แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ได้มอบกุญแจรถให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๓ ตลอดเวลาเชื่อว่าวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ อนุญาตให้จำเลยที่ ๓ นำรถออกจากกรมศิลปากรไปได้จำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตให้ใช้รถคันเกิดเหตุ ย่อมถือได้โดยปริยายว่ากรมศิลปากรก็อนุญาตให้จำเลยที่ ๓ กระทำการเช่นนั้นได้ แม้จำเลยที่ ๓จะขับรถคันเกิดเหตุไปชนรถโจทก์นอกเวลาปฏิบัติราชการตามปกติแต่จำเลยที่ ๓ ก็ยังมิได้นำรถคันเกิดเหตุเข้าเก็บตามระเบียบ เหตุละเมิดเกิดขึ้นระหว่างที่จำเลยที่ ๓ กำลังขับรถจะนำไปเก็บที่กรมศิลปากร จึงถือได้ว่าอยู่ระหว่างเวลาที่จำเลยที่ ๓ ปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๓ ก่อขึ้นด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
สำหรับฎีกาจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าระหว่างเกิดเหตุจำเลยที่ ๓ ไปนอนเฝ้าสวนและถางหญ้าให้จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ ให้เงินใช้สัปดาห์ละ ๑๐๐ บาท ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๓ ช่วยทำงานส่วนตัวให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชา เงินที่จำเลยที่ ๒ ให้ถือไม่ได้ว่าเป็นสินจ้าง เพราะไม่ได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ตกลงให้เงินจำนวนดังกล่าวตลอดเวลาที่จำเลยที่ ๓ เฝ้าสวนให้ จึงเป็นเพียงเงินรางวัลที่จำเลยที่ ๒ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นครั้งคราวตามอัธยาศัย ไม่มีข้อผูกพันว่าจำเลยที่ ๒ ต้องให้เงินจำนวนนั้นเนื่องจากจำเลยที่ ๓ ตกลงทำงานให้ จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๓ ในกิจการส่วนตัว ดังนั้นจำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการทำละเมิดของจำเลยที่ ๓ ด้วย ฎีกาจำเลยที่ ๒ ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๓ ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ ฯลฯ

Share