คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3160/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รัฐมนตรีมีคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องคดีแทนโจทก์ แม้ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ นาย ธ. จะพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโจทก์ไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อคำสั่งมอบอำนาจไม่ได้ถูกยกเลิกเพิกถอน คำสั่งมอบอำนาจดังกล่าวของนาย ธ. คงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นกระทรวงในรัฐบาล เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้กระทำการในนามโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินราชพัสดุ ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ย นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ หากจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปหลังวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ ของอัตราเดือนละ ๔,๐๘๑ บาท และชำระเพิ่มร้อยละ ๑๕ ของทุก ๆ ๕ ปี ถัดไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากนายวิชัย ธรรมชอบ ผู้รับมอบอำนาจเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่ข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้มอบอำนาจต้องเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในขณะที่ฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หลังจากที่นายบุญช่วยถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยสืบสิทธิการเช่าต่อมาโดยชำระค่าเช่าให้โจทก์ โจทก์มิได้บอกเลิกสัญญากับจำเลย จึงถือได้ว่าจำเลยสืบสิทธิการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ต้องบอกเลิกสัญญาก่อนที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการเช่าไม่น้อยกว่า ๒ เดือน การบอกเลิกสัญญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๓๕๑ ถนนเทศาหน้าพระ ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม กับให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ ๓,๕๔๘ บาท นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ถึงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๔,๐๘๑ บาท นับแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๓๗ และตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๘ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วเสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๔,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จำนวน ๑๓๔,๖๑๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๗ จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ดอกเบี้ยเมื่อคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๙) ต้องไม่เกินจำนวน ๒๕,๒๔๑ บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินค่าเสียหายอัตราเดือนละ ๔,๐๘๑ บาท นับแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๘ จนถึงวันฟ้อง (รวมต้นเงินค่าเสียหายจนถึงวันฟ้องจำนวน ๗๑,๔๘๔ บาท) นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน ๕,๑๕๒.๕๐ บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเพียงประการเดียวว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เพราะขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คำสั่งที่มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแก่จำเลยแทนโจทก์นั้น ได้สิ้นสุดไปแล้วนับแต่วันที่นายธารินทร์พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า โจทก์เป็นกระทรวงในรัฐบาลเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๓๖ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินราชพัสดุแทน ตามสำเนาคำสั่งกระทรวงการคลังที่ ๒๖/๒๕๓๖ เรื่อง มอบอำนาจให้อธิบดีกรมธนารักษ์ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๓๖ เอกสารหมาย จ. ๑ ซึ่งตามคำสั่งดังกล่าวมีข้อความเป็นสำคัญว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจแต่งตั้งทนายความเพื่อฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินราชพัสดุหรือทรัพย์สินในที่ดินราชพัสดุแทน คดีนี้โจทก์โดยนายวิชัย ชอบธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๙ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินราชพัสดุของโจทก์ ขณะที่ฟ้องนายธารินทร์ได้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปแล้ว เห็นว่า เมื่อในขณะที่นายธารินทร์มีคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องคดีแทนโจทก์ตามเอกสารหมาย จ. ๑ นั้น นายธารินทร์ยังเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐ ดังนั้น แม้ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๙ นายธารินทร์จะพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโจทก์ไปแล้วตามที่จำเลยอ้างในฎีกา แต่เมื่อคำสั่งมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ. ๑ ไม่ได้ถูกยกเลิกเพิกถอน คำสั่งมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ. ๑ ดังกล่าวของนายธารินทร์ที่ได้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องคดีขณะนายธารินทร์เป็นผู้มีอำนาจกระทำแทนโจทก์นั้นคงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เหตุที่ขณะฟ้องนายธารินทร์พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการของโจทก์ไปแล้วจึงหาได้ทำให้ฐานะของผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์สิ้นสุดตามไปด้วยไม่ คดีฟังได้ว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โดยชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share