คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทรัพย์ที่จำนองไว้หลายรายได้ถูกยึดมาขายทอดตลาดในคดีแพ่งสามัญ เมื่อผู้รับจำนองในลำดับแรกเป็นผู้ซื้อได้ก็มีสิทธิหักหนี้จำนองของเขาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 732 ถึงแม้ผู้รับจำนองนั้นซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่ขอบังคับจำนองจะมิได้ขอยึดมาขายทอดตลาดในคดีของตนก็ตาม

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์นำยึดโรงสีของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องทั้งสองต่างยื่นคำร้องขอหักหนี้จำนองโดยต่างเป็นเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษาในคดีแดงที่ ๑๘๖/๒๕๐๑ และคดีแดงที่ ๑๘๗/๒๕๐๑ ตามลำดับ ในการขายทอดตลาดปรากฎว่านายชลินทร์ เจ้าหนี้จำนองในคดีแดงที่ ๑๘๖/๒๕๐๑ เป็นผู้ประมูลได้ในราคา ๑๐๑,๐๐๐ บาท และนายชลินทร์เป็นผู้รับจำนองในลำดับแรกซึ่งรับจำนองไว้ ๑๑๐,๐๐๐ บาท ก่อนนางปุ้ยซึ่งรับจำนองไว้ ๒๕,๐๐๐ บาท ศาลจังหวัดอ่างทองจึงมีคำสั่งให้โอนโรงสีเป็นกรรสิทธิ์แก่นายชลินทร์โดยหักหนี้จำนองได้
นางปุ้ย ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า โรงสีนี้ถูกยึดขายทอดตลาดในคดีแพ่งสามัญ มิได้ขายในคดีที่ขอบังคับจำนอง ผู้ซื้อได้ไม่มีสิทธิรับชำระหนี้ก่อน และต้องรับภาระจำนองของผู้ร้องด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางปุ้ย ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายชลินทร์ เจ้าหนี้จำนองในลำดับแรกเป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาด แม้การขายทอดตลาดจะทำในคดีแพ่งสามัญก็ตาม นายชลินทร์ก็มีสิทธิหักหนี้จำนองของเขาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๓๒ เมื่อหักแล้วไม่มีเงินเหลือ ผู้รับจำนองลำดับหลังก็ไม่มีทางได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองตามฎีกาที่ ๔๗๓/๒๔๘๕
พิพากษายืน

Share