คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ซ.ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายฟ้องคดีโดยซ.จะชำระค่าจ้างให้โจทก์เมื่อได้รับเงินตามฟ้องเรียบร้อยแล้ว เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน เพราะ ซ. จะได้รับเงินหรือไม่เป็นเหตุการณ์ในอนาคต และไม่แน่นอน ซ.หรือกองมรดกของซ.จะชำระค่าจ้างให้โจทก์ต่อเมื่อเงื่อนไขสำเร็จ เมื่อเงื่อนไขตามสัญญายังไม่สำเร็จ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นบุตรของนายเจ๊ะโส๊ะแก้วศรีสมหรือศรีสม เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2528 จำเลย(ที่ถูกเป็นนายเจ๊ะโส๊ะได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ดำเนินคดีอาญาฟ้องเรียกเงินเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1211/2529 ของศาลชั้นต้น ทุนทรัพย์ 2,000,000 บาท จำเลย(ที่ถูกนายเจ๊ะโส๊ะ) ตกลงค่าสินจ้างร้อยละสิบของทุนทรัพย์เป็นเงิน 200,000 บาท และชำระให้โจทก์ต่อเมื่อจำเลย (ที่ถูกเป็นนายเจ๊ะโส๊ะได้รับเงินจากคดีที่ฟ้องแล้ว คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 2,000,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท คดีดังกล่าวโจทก์ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 996/2528 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2531 โจทก์ทราบว่านายเจ๊ะโส๊ะถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา จึงทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสามบิดพลิ้วเรื่อยมาขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า นายเจ๊ะโส๊ะบิดาจำเลยทั้งสามได้จ้างโจทก์เป็นทนายดำเนินคดีอนาถาในคดีหมายเลขแดงที่ 1211/2529ของศาลชั้นต้นจริง แต่ไม่เคยตกลงจะให้ค่าจ้างโจทก์ร้อยละสิบของทุนทรัพย์ที่ฟ้องเป็นเงิน 200,000 บาท บิดาจำเลยได้ให้ค่าจ้างเพียงเล็กน้อยแก่โจทก์รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีมูลหนี้ต่อกันอีก ทั้งบิดาจำเลยทั้งสามยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยในคดีดังกล่าวโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า นายเจ๊ะโซะหรือเจ๊ะโส๊ะบิดาจำเลยทั้งสามได้ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องเรียกเงินค่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายเป็นเงิน 2,000,000 บาท จากนางอาภรณ์ ศาสนภักดีตกลงให้ค่าจ้างเป็นเงิน 200,000 บาท โดยนายเจ๊ะโซะจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อได้รับเงินตามฟ้องเรียบร้อยแล้ว คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเจ๊ะโซะชนะคดีตามฟ้อง ในชั้นบังคับคดีนายเจ๊ะโซะยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยในคดีอื่นศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง นายเจ๊ะโซะอุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต่อมานายเจ๊ะโซะถึงแก่กรรมโจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเจ๊ะโซะให้ชำระค่าจ้างแก่โจทก์ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สัญญาจ้างว่าความที่โจทก์ทำไว้กับนายเจ๊ะโซะเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 182 และเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนตาม มาตรา 183 วรรคแรก หาใช่เป็นเงื่อนเวลาดังโจทก์ฎีกาไม่เพราะนายเจ๊ะโซะจะได้รับเงินตามฟ้อง คดีดังกล่าวหรือไม่เป็นเหตุการณ์ในอนาคตและไม่แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้นายเจ๊ะโซะก็ดีหรือกองมรดกของนายเจ๊ะโซะก็ดีจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ต่อเมื่อเงื่อนไขสำเร็จ กล่าวคือ นางอาภรณ์ชำระเงินดังกล่าวให้แก่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอาภรณ์ยังมิได้ชำระเงินตามฟ้องให้แก่นายเจ๊ะโซะหรือกองมรดกของนายเจ๊ะโซะเลยเงื่อนไขตามสัญญาจึงยังไม่สำเร็จ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามได้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share