คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จ.บิดาจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องเรียกเงินค่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายจากอ. โดย จ. จะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อได้รับเงินค่าที่ดินเรียบร้อยแล้ว สัญญาจ้างว่าความที่โจทก์ทำไว้กับ จ.เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 182 และเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนตาม มาตรา 183 วรรคแรก หาใช่เป็นเงื่อนเวลาไม่ เพราะ จ.จะได้รับเงินค่าที่ดินหรือไม่เป็นเหตุการณ์ในอนาคตและไม่แน่นอนเมื่อเป็นเช่นนี้ จ. หรือกองมรดกของ จ. จะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ต่อเมื่อเงื่อนไขสำเร็จคือ อ. ชำระเงินค่าที่ดินให้แล้ว เมื่อ อ. มิได้ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่ จ.หรือกองมรดกของจ. เลย เงื่อนไขตามสัญญาจึงไม่สำเร็จ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ จ. ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นบุตรของนายเจ๊ะโส๊ะ แก้วศรีสมหรือศรีสม นายเจ๊ะโส๊ะได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ดำเนินคดีอนาถา ฟ้องเรียกเงินเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1211/2529 ของศาลชั้นต้น ทุนทรัพย์ 2,000,000 บาท ตกลงค่าสินจ้างร้อยละสิบของทุนทรัพย์เป็นเงิน 200,000 บาท และจะชำระให้โจทก์ต่อเมื่อนายเจ๊ะโส๊ะได้รับเงินจากคดีที่ฟ้องแล้ว คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 2,000,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท คดีดังกล่าวโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 996/2528 ของศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2531โจทก์ทราบว่านายเจ๊ะโส๊ะถึงแก่กรรมด้วยโรคชราจึงทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสามบิดพริ้วเรื่อยมาขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า บิดาของจำเลยทั้งสามยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยในคดีดังกล่าว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า นายเจ๊ะโซ๊ะหรือเจ๊ะโส๊ะ บิดาจำเลยทั้งสามว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องเรียกเงินค่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายเป็นเงิน 2,000,000 บาท จากนางอาภรณ์ ศาสนภักดี ตกลงให้ค่าจ้างเป็นเงิน 200,000 บาท โดยนายเจ๊ะโซ๊ะจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อได้รับเงินตามฟ้องเรียบร้อยแล้ว คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเจ๊ะโซ๊ะชนะคดีตามฟ้อง ในชั้นบังคับคดีนายเจ๊ะโซ๊ะยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยในคดีอื่นศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง นายเจ๊ะโซ๊ะอุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต่อมานายเจ๊ะโส๊ะถึงแก่กรรมโจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเจ๊ะโซ๊ะให้ชำระค่าจ้างแก่โจทก์ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่า สัญญาจ้างว่าความที่โจทก์ทำไว้กับนายเจ๊ะโซ๊ะเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 182 และเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนตาม มาตรา 183 วรรคแรก หาใช่เป็นเงื่อนเวลาดังที่โจทก์ฎีกาไม่ เพราะนายเจ๊ะโซ๊ะจะได้รับเงินตามฟ้องคดีดังกล่าวหรือไม่เป็นเหตุการณ์ในอนาคตและไม่แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้นายเจ๊ะโซ๊ะก็ดี หรือกองมรดกของนายเจ๊ะโซ๊ะก็ดีจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ต่อเมื่อเงื่อนไขสำเร็จ กล่าวคือ นางอาภรณ์ชำระเงินดังกล่าวให้แล้ว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่านางอาภรณ์ยังมิได้ชำระเงินตามฟ้องให้แก่นายเจ๊ะโซ๊ะหรือกองมรดกของนายเจ๊ะโซ๊ะเลย เงื่อนไขตามสัญญาจึงยังไม่สำเร็จ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามได้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share