แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยนั้น ย่อมมีผลโดยตรงต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้สิ้นผลบังคับไปในตัวด้วย แต่จำเลยเลี่ยงไปอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยเพียงประการเดียวโดยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาด้วย แม้จะเป็นสิทธิของจำเลยที่กระทำได้โดยชอบ ซึ่งจำเลยได้ประโยชน์ที่ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ โดยเสียเพียงค่าอุทธรณ์คำสั่ง 200 บาทเท่านั้นก็ตาม แต่การที่จำเลยอุทธรณ์เช่นนี้ทำให้มีผลกระทบต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันซื้อสินค้าไปจากโจทก์เป็นเงิน 505,361 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันครบกำหนดระยะเวลาชำระหนี้เป็นต้นไปด้วย คำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน71,667.79 บาท รวมเป็นหนี้ถึงวันฟ้อง 577,028.79 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 577,028.79 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน505,361 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยซื้อสินค้าจากโจทก์และไม่เคยได้รับการทวงหนี้ค่าสินค้าจากโจทก์ โจทก์ยังไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงไม่มีสิทธิคำนวณค่าภาษีรวมเข้ากับต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยจากจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้ว ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยที่ 1 แต่จำเลยทั้งสองไม่มาศาลตามนัด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 505,361 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นนั้นจำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 กล่าวคือจะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วยแต่จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตาม จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 ตามเหตุผลต่าง ๆ ที่อ้างมาเพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น หากศาลอุทธรณ์พิจารณาเห็นชอบด้วยตามเหตุผลที่จำเลยที่ 1 อ้างมาแล้วมีคำพิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ย่อมแสดงว่ากระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินต่อไปจนถึงมีคำพิพากษาเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นต้องเริ่มดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยต้องให้โอกาสแก่จำเลยที่ 1 นำพยานเข้าสืบจนสิ้นกระแสความแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าการที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 นั้น มีผลโดยตรงต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้สิ้นผลบังคับไปในตัวด้วย การที่จำเลยที่ 1 เลี่ยงไปอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 เพียงประการเดียว โดยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาด้วย แม้จะเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 จะกระทำได้โดยชอบ ซึ่งทำให้จำเลยที่ 1 ได้ประโยชน์ที่ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ โดยเสียเพียงค่าอุทธรณ์คำสั่ง 200 บาท เท่านั้นก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์เช่นนี้ทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 มิฉะนั้นเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบกรณีต่างจากบทบัญญัติตามมาตรา 234 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่จำเลยที่ 1 อ้างมาในฎีกาซึ่งเป็นเรื่องการทำคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ กฎหมายจึงบัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นด้วย ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบไม่รับวินิจฉัยให้แล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน