แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้เสียหายเอาเงินออกมาเพื่อร่วมทำธนบัตรปลอมด้วยความเชื่อตามที่จำเลยกับพวกหลอกลวง โดยผู้เสียหายยังครอบครองยึดถือบัตรเหล่านั้นอยู่ แล้วจำเลยกับพวกได้ใช้อุบายเอาธนบัตรเหล่านั้นของผู้เสียหายไป โดยผู้เสียหายมิได้ส่งมอบให้นั้นเป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๑๙ จำเลยกับพวกอีก ๑ คน ได้ร่วมกันเข้าไปในบ้านเคหสถานที่อยู่อาศัยของนายทักษิณผู้เสียหายแล้วใช้กลอุบายลักเอาเงินสดจำนวนหนึ่งล้านบาทของผู้เสียหายที่อยู่ในบ้านนั้นไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕,๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕(๑)(๗) ให้จำคุก ๕ ปี ให้ใช้เงินหนึ่งล้านบาทแก่ผู้เสียหาย ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยกับพวกใช้อุบายเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปในขณะทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วมโดยไม่ให้โจทก์ร่วมรู้ตัวแล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวหาใช่เป็นการที่จำเลยกับพวกได้เงินของโจทก์ร่วมไป โดยโจทก์ร่วมมอบให้เพราะการหลอกลวงของจำเลยอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ดังที่จำเลยฎีกาไม่ การที่โจทก์ร่วมเอาเงินออกมาเพื่อร่วมทำธนบัตรปลอมด้วยความเชื่อตามที่จำเลยกับพวกหลอกลวง โดยโจทก์ร่วมยังครอบครองยึดถือธนบัตรเหล่านั้นอยู่แล้วจำเลยกับพวกใช้อุบายเอาธนบัตรเหล่านั้นของโจทก์ร่วมไปโดยโจทก์ร่วมมิได้ส่งมอบให้เช่นนี้ เป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง พิพากษายืน.