คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 315/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะให้จำเลยรับผิดฐานเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ได้ จะต้องปรากฎว่า จำเลยได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อ เพื่อจะชำระหนี้แทนลูกหนี้นั้นให้โจทก์จึงจะได้ เพียงแต่จำเลยได้มอบโฉนดที่ให้ลูกหนี้เอาไปค้ำประกันโจทก์หรือจำเลยฟ้องลูกหนี้ในอีกคดีหนึ่งได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยยอมค้ำประกันลูกหนี้ต่อโจทก์เท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาค้ำประกัน
การที่โจทก์บรรยายฟ้องตอนหนึ่งว่า “จำเลยต้องรับผิดทั้งในทางพฤฒินัย และนิตินัย” เพียงเท่านี้ย่อมไม่มีความหมายถึงข้อความในเอกสาร จ.7-จ.8 ถ้าโจทก์มุ่งจะให้หมายถึงเอกสาร จ.7-จ.8 ถ้าบรรยายเพียงเท่านี้ก็เป็นเคลือบคลุม

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๓ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เป็นเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๐ ต่อปี คิดทบต้นเป็นรายเดือน จะชำระหนี้ให้เสร็จภายใน ๖ เดือน จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกัน ฝ่ายจำเลยที่ ๓ ได้ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์ใบมอบฉันทะและมอบโฉนดที่ ๑๒๔๒ ตำบลพระโขนงฝั่งใต้ จังหวัดพระนคร ให้ไว้กับโจทก์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของโจทก์ไปนำจำนองค้ำประกัน และจำเลยที่ ๓ ได้ฟ้อง จำเลยที่ ๑ ตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๒๕๑/๒๔๙๔ ยอมรับว่าจำเลยที่ ๓ ยอมเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ โดยมีสินจ้างตอบแทน จำเลยที่ ๓ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันเป็นเงิน ๗๗,๘๘๓ บาท ๗๘ สตางค์ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยที่ ๒ ให้การยอมรับผิด
จำเลยที่ ๓ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญายืมโฉนดของจำเลยเพื่อไปทำประกันกู้เงินธนาคารไทยพานิชย์ จะไถ่ถอนโฉนดคืนให้ในกำหนด ๑ เดือน โดยยอมให้ค่าตอบแทน ๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ผิดสัญญา จำเลยได้ฟ้องเรียกโฉนดคืนจากจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนโฉนด จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ไม่เคยแสดงความจำนงต่อโจทก์เข้าค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ไม่ได้มอบโฉนดให้โจทก์จำเลยลงชื่อในใบมอบฉันทะโดยไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่ได้เจตนาให้อำนาจโจทก์ไปทำจำนอง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกัน เพราะจำเลยไม่เคยมีและทำหลักฐานค้ำประกันเป็นหนังสือให้ไว้กับโจทก์ ถ้าจำเลยจะต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน โจทก์ก็ได้ผ่อนเวลาให้จำเลยที่ ๑ จำเลยจึงหลุดพ้นความรับผิด ตามประมวลแพ่งฯ ม.๖๙๗-๗๐๐ โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้อง เพราะไม่เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้
ศาลชั้นต้นพิจารณาดคีแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เหตุประการแรกเป็นเรื่องเอาโฉนดค้ำประกันหนี้ซึ่งจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำจำนองกัน เพียงแต่ลงชื่อในใบมอบฉันทะไว้เท่านั้นยังไม่สมบูรณ์แบบค้ำประกันตามกฎหมาย
สำหรับประเด็นข้อ ๒ ที่โจทก์ฎีกาขึ้นมา (จำเลยที่ ๓ ยอมค้ำประกันต่อโจทก์โดยมีสินจ้างตอบแทน) นั้น ตามประมวลแพ่งฯ ม.๖๘๐ ต้องได้ความว่า ผู้ค้ำประกันประกันได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อเพื่อชำระหนี้แทนลูกหนี้ การที่จำเลยที่ ๓ ฟ้องจำเลยที่ ๑ มีใจความว่า “จำเลยที่ ๓ ได้มอบโฉนดให้จำเลยที่ ๑ ไปทำนิติกรรมประกันเงินกู้ ธนาคารมณฑล จำกัด (คือโจทก์ในคดีนี้) เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท” นั้น เรียกไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๓ ทำหนังสือลงลายมือชื่อเพื่อผูกพันตนให้ต้องรับผิดแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดเพราะเหตุนี้
ข้อที่ศาลชั้นต้นอ้างเอกสาร จ.๗-จ.๘ ว่าจำเลยรับสารภาพหนี้ เพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ในฟ้องหน้า ๓ ว่า จำเลยต้องรับผิดทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัยโดยชอบด้วยกฎหมายและโจทก์มีสิทธินำสืบถึงพฤติการณ์แวดล้อมได้ ไม่เป็นนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น คำว่าจำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดในทางพฤตินัยก็คือ จำเลยที่ ๓ กล่าวในฟ้อง (คดีแดงที่ ๑๒๕๑/๒๔๙๔) จำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๓ ยอมเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ นั้น หาได้พาดพิงถึงเอกสาร จ.๗-จ.๘ ด้วยไม่ หากโจทก์มุ่งหมายถึงเอกสาร จ.๗,จ.๘ ด้วยก็เป็นข้อความเคลือบคลุม
จึงพิพากษายืน

Share