คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ดาบตำรวจ ศ. ผู้ร่วมจับกุมเบิกความว่า จำเลยรับว่าใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางติดต่อในการขนส่งเมทแอมเฟตามีน และจำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า ชายที่ให้จำเลยขนเมทแอมเฟตามีนเป็นคนมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางให้จำเลยใช้โดยให้รับสายอย่างเดียว แม้คำรับและคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมที่จำเลยมีหน้าที่ขับรถนำเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากไปส่งให้แก่ผู้รับ เชื่อว่าผู้ว่าจ้างต้องมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางให้จำเลยไว้ใช้ติดต่อในการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางในการติดต่อส่งมอบเมทแอมเฟตามีน จึงต้องริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ริบเมทแอมเฟตามีน รถยนต์กระบะ โทรศัพท์เคลื่อนที่ กระเป๋าเงิน และเงินสดของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม, 102 ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ รถยนต์กระบะ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเงินสดของกลาง แต่คืนกระเป๋าเงินแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน ให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 300,000 เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักสุทธิ 27,102.740 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3,840.882 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บว 4815 เชียงราย โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง กระเป๋าเงิน 1 ใบ ที่จำเลยใช้ซุกซ่อนเงินสด 7,000 บาท เป็นของกลาง โดยการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ที่จำเลยใช้ติดต่อส่งมอบเมทแอมเฟตามีนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่เนื่องจากความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมขึ้นไปไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นคดีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตลอดชีวิตหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น โจทก์จึงต้องนำพยานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 13 ซึ่งดาบตำรวจศิริ พยานโจทก์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุม เบิกความว่า จำเลยรับว่าใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางติดต่อในการขนส่งเมทแอมเฟตามีนของกลาง และจำเลยให้การชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาว่า ชายที่ให้จำเลยขนเมทแอมเฟตามีนเป็นคนให้จำเลยใช้ โดยให้รับสายอย่างเดียว แม้คำรับและคำให้การดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมที่จำเลยมีหน้าที่ขับรถนำเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากไปส่งให้แก่ผู้รับ เชื่อว่า ผู้ว่าจ้างต้องมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางให้จำเลยไว้ใช้ติดต่อในการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว จึงรับฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยได้ใช้โทรศัพท์ของกลางในการติดต่อส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ดังนี้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางจึงเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นใดซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด หรือทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จึงต้องริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 (1) ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย

Share