แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จ. บิดาโจทก์ได้ตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากล.ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าเป็นเงิน125,000บาทแต่ชำระราคากันไว้เพียง25,000บาทยังไม่ครบถ้วนราคาที่ดินและมีข้อตกลงในสัญญาด้วยว่าล. จะไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้บิดาโจทก์เมื่อล. กลับจากต่างประเทศและให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบเขตที่ดินเสียก่อนด้วยข้อสัญญาดังกล่าวจึงเป็นลักษณะสัญญาจะซื้อขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดแม้ล. จะมอบที่ดินพิพาทให้บิดาโจทก์ครอบครองและบิดาโจทก์ได้มอบให้โจทก์ครอบครองแทนต่อมาก็ตามกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังคงเป็นของล. การที่บิดาโจทก์และโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนล.ดังนี้การร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทของอ. และจำเลยที่4ต่อศาลชั้นต้นก็ดีการกระทำของอ. กับจำเลยที่4ดังกล่าวรวมทั้งที่จำเลยที่2ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นแต่งตั้งจำเลยที่3เป็นผู้จัดการมรดกของอ. จนเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของอ. กับจำเลยที่4และมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยที่3เป็นผู้จัดการมรดกของอ. ก็ดีจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่2ที่3และที่4 ตามคำฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของทั้งไม่ได้ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องเพียงว่าขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่1ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาที่ทำไว้แก่โจทก์และรับเงินราคาที่โจทก์วางไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์ตลอดจนสอบแนวเขตที่ดินแก่โจทก์ด้วยเห็นได้ชัดแจ้งว่าโจทก์มุ่งประสงค์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่1ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินโดยตรงโดยมิได้มีเจตนากล่าวถึงเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ศาลจึงวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ให้ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวงเจริญรัตนวิโรจน์ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2481 จำเลยที่ 1ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินและส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 496 ตำบลสาธร อำเภอสาธร (บางรัก)จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) เนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวาให้แก่บิดาโจทก์ในราคา 125,000 บาท บิดาโจทก์ชำระราคาให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำนวน 25,000 บาท และตกลงกันว่าจำเลยที่ 1จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้บิดาโจทก์เมื่อจำเลยที่ 1 กลับจากประเทศมาลายู (มาเลเซีย) หลังจากจำเลยที่ 1 เดินทางไปต่างประเทศ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2บิดาโจทก์หาจำเลยที่ 1 ไม่พบจึงได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมาเพื่อรอให้จำเลยที่ 1 มาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ วันที่ 7มีนาคม 2530 บิดาโจทก์ทำหนังสือยกสิทธิการครอบครองที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ โดยให้อำนาจโจทก์ครอบครองแทน หากโจทก์พบจำเลยที่ 1หรือทายาท ก็ให้โจทก์ทำการเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 หรือทายาทโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์ตามหนังสือสัญญาที่ทำไว้ หลังจากโจทก์รับโอนสิทธิการครอบครองและเมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่ความตายแล้วโจทก์ได้ติดตามหาจำเลยที่ 1 และทราบว่าจำเลยที่ 1 เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว แต่ไม่ทราบที่อยู่แน่นอน ไม่สามารถติดต่อได้โจทก์จึงนำเงินค่าที่ดินที่เหลืออีก 100,000 บาท ไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์เพื่อชำระแก่จำเลยที่ 1 ครบกำหนดเวลาตามที่เจ้าพนักงานวางทรัพย์ประกาศให้จำเลยที่ 1 ทราบการวางทรัพย์แล้วจำเลยที่ 1 เพิกเฉย ปี 2526 นางสาวองุ่น สุรสิทธิ์กุลได้ยื่นคำร้องขออันเป็นเท็จต่อศาลชั้นต้นว่า นางสาวองุ่นได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 496 ดังกล่าวเป็นเหตุให้ศาลแพ่งมีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 356/2527 ว่านางสาวองุ่นได้ที่ดินบางส่วนนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อมาจำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทของนางสาวองุ่นได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกนางสาวองุ่น และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 16757/2533 ตั้งจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกนางสาวองุ่นตามคำร้องขอจำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิจัดการที่ดินโฉนดเลขที่ 496เพราะไม่ใช่เป็นมรดกของนางสาวองุ่น ปี 2534 จำเลยที่ 4ยื่นคำร้องขออันเป็นเท็จต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 4 ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 496 เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 418/2534 ว่า จำเลยที่ 4 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 496 ตำบลสาธร อำเภอสาธร (บางรัก)จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ให้โจทก์และรับเงินที่โจทก์วางไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์ตลอดจนตรวจสอบแนวเขตที่ดินให้โจทก์ด้วยหากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและขอให้พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องหรือจัดการที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวหรือขอให้พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จะขอให้บังคับคดีให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 356/2527 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 418/2534 ไม่ได้
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปขายให้บิดาโจทก์สัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างเป็นโมฆะและขาดอายุความนางสาวองุ่นได้ครอบครองปรปักษ์และได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามคำสั่งศาลชั้นต้นโดยชอบ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ สัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับบิดาโจทก์ไม่อาจลบล้างหรือใช้ยันนางสาวองุ่นผู้ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินมาโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของนายโลไกจวย นายโลไกจวยตายตั้งแต่ปี 2473ที่ประเทศสิงคโปร์สัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอมนายโลไกจวยไม่เคยทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทและไม่เคยส่งมอบที่ดินให้บิดาโจทก์จำเลยที่ 4 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลและคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่าง พิจารณา จำเลย ที่ 2 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมี คำสั่ง อนุญาต ให้ นาง ลัดดาวัลย์ หมัดป้องตัวหรือมาเสมอเข้า เป็น คู่ความ แทน
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวา มีชื่อจำเลยที่ 1ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทจัดไว้เพื่อเป็นสุสานฝังศพชาวจีนลูกครึ่งที่เกิดในประเทศมลายู(มาเลเซีย) และประเทศอินโดนีเซีย ต่อมาปี 2527 นางสาวองุ่นสรสิทธิ์กุล ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นว่า ตนได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวองุ่นตามจำนวนที่ร้องขอ (125 ตารางวา) ภายหลังนางสาวองุ่นถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทของนางสาวองุ่นได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้แต่งตั้งจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวองุ่นศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตามคำร้องขอของจำเลยที่ 2 ต่อมาปี 2534จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นว่าที่ดินพิพาททั้งหมดเป็นของตนโดยการครอบครองปรปักษ์ และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 4 ทั้งหมด ส่วนโจทก์เป็นบุตรของหลวงเจริญรัตนวิโรจน์ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายโลไกจวยในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องเป็นอันยุติไปแล้ว
มีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า การร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทของนางสาวองุ่นและจำเลยที่ 4 ต่อศาลชั้นต้นเป็นความเท็จ การกระทำของนางสาวองุ่นกับจำเลยที่ 4 ดังกล่าวรวมทั้งที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นแต่งตั้งจำเลยที่ 3เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวองุ่นจนเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของนางสาวองุ่นกับจำเลยที่ 4และมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวองุ่น เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์โดยเจตนาเป็นเจ้าของที่แท้จริงตลอดมานับตั้งแต่นายโลไกจวยสละเจตนาการครอบครองและส่งมอบที่ดินพิพาทให้บิดาโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ประกอบกับภาพถ่ายหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ได้ความว่าหลวงเจริญรัตนวิโรจน์บิดาโจทก์ได้ตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากนายโลไกจวยในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าเป็นเงิน 125,000 บาทแต่ชำระราคากันไว้เพียง 25,000 บาท ยังไม่ครบถ้วนราคาที่ดินประกอบกับมีข้อตกลงในสัญญาด้วยว่า นายโลไกจวยจะไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้บิดาโจทก์ เมื่อนายโลไกจวยกลับจากต่างประเทศและให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบเขตที่ดินเสียก่อนด้วย ข้อสัญญาดังกล่าวจึงเป็นลักษณะสัญญาจะซื้อขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดดังนั้นแม้หากว่านายโลไกจวยจะมอบที่ดินพิพาทให้บิดาโจทก์ครอบครองและบิดาโจทก์ได้มอบให้โจทก์ครอบครองแทนต่อมาตามที่โจทก์อ้างก็ตาม กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังคงเป็นของนายโลไกจวยการที่บิดาโจทก์และโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนนายโลไกจวย การกระทำต่าง ๆของนางสาวองุ่นกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ตามที่โจทก์อ้างดังกล่าวข้างต้นจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
ปัญหาข้อสอง ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ทั้งไม่ได้ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องเพียงว่า ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาที่ทำไว้แก่โจทก์และรับเงินราคาที่โจทก์วางไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์ตลอดจนสอบแนวเขตที่ดินแก่โจทก์ด้วยแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า โจทก์มุ่งประสงค์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินโดยตรง โดยมิได้มีเจตนากล่าวถึงเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ศาลจึงวินิจฉัยประเด็นนี้ให้ไม่ได้
พิพากษายืน