คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3147/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยต้องการตั๋วสัญญาใช้เงินมาวางเป็นหลักทรัพย์ประกันในการเล่นหุ้นต่อโจทก์จึงได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ โจทก์ได้ออกเช็คตามจำนวนเงินที่กู้แก่จำเลยแล้ว จำเลยมิได้นำเช็คไปรับเงินจากธนาคาร แต่สลักหลังให้โจทก์เพื่อฝากเงินไว้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่จำเลยเพื่อนำไปวางเป็นหลักทรัพย์ประกันในการเล่นหุ้นต่อโจทก์ดังนี้ การที่จำเลยกู้เงินจากโจทก์แล้วฝากเงินไว้แก่โจทก์ แม้จะมีผลทำให้จำเลยเป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้โจทก์ในขณะเดียวกันก็เป็นความสมัครใจของจำเลยเองวัตถุที่ประสงค์ของนิติกรรมไม่เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมายเพื่อเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดีของประชาชนเมื่อสัญญากู้ที่จำเลยทำขึ้นกับโจทก์เป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นโดยตั้งใจจะให้มีผลผูกพันมิได้มีการอำพรางนิติกรรมอื่นใดจึงมิใช่นิติกรรมอำพราง จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญากู้ จะอ้างว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้มิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ในวงเงิน 67,000 บาททุกครั้งที่จำเลยจะออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ในวันทำสัญญากู้จำเลยที่ 1ขอเบิกเงินจากโจทก์ 670,000 บาท และจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเงิน670,000 บาท จำเลยที่ 2 สามีได้จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ทุกชนิดที่จำเลยทั้งสองมีต่อโจทก์ หลังจากทำสัญญากู้แล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินต้นและดอกเบี้ย หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบขอให้บังคับจำนอง

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินกู้จากโจทก์จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้เพื่อค้ำประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้โจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อจำเลยที่ 1 สั่งซื้อหลักทรัพย์โจทก์ก็คิดยอดเงินกู้ที่ทำสัญญาเป็นคราว ๆ สัญญากู้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง หากขายหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 สั่งให้โจทก์ซื้อแล้วนำมาหักกับโจทก์จะเป็นหนี้โจทก์ไม่เกิน 150,000 บาท

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ในวงเงินไม่เกิน 670,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินจากโจทก์เต็มวงเงินกู้โจทก์ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้ จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 670,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย มีกำหนดเวลาใช้เงินให้โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้เงินกู้และเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเช็คจากโจทก์ ก็มิได้นำไปขอรับเงินจากธนาคารแต่สลักหลังให้โจทก์เพื่อฝากเงินไว้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน670,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย มีกำหนดเวลาใช้เงินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1ได้สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักทรัพย์ประกันในการเล่นหุ้นซึ่งจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้โจทก์เป็นตัวแทนแล้ววินิจฉัยปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามสัญญากู้หรือไม่ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์แล้วฝากเงินไว้กับโจทก์ย่อมไม่แตกต่างอะไรกับการที่จำเลยที่ 1 กู้เงินจากบุคคลอื่นแล้วนำมาฝากไว้กับโจทก์จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าไม่ได้รับเงินที่กู้จากโจทก์หาได้ไม่ แม้การกู้เงินจากโจทก์แล้วฝากไว้กับโจทก์จะมีผลทำให้จำเลยที่ 1 เป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้โจทก์ในขณะเดียวกันก็เป็นความสมัครใจของจำเลยที่ 1 เอง วัตถุที่ประสงค์ของนิติกรรมไม่เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมายหรือเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใดหากเงินที่จำเลยที่ 1 ฝากไว้กับโจทก์ไม่มีภาระผูกพันอย่างหนึ่งอย่างใดอันโจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ จำเลยที่ 1 ก็ย่อมมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้กับเงินกู้ได้สัญญากู้ที่จำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์เป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นโดยตั้งใจจะให้มีผลผูกพันกันมิได้มีการอำพรางนิติกรรมอื่นใด จึงมิใช่นิติกรรมอำพราง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้จำเลยที่ 2 ซึ่งจำนองที่ดินเป็นประกันและยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย

พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยหากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้บังคับจำนอง

Share