คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จำเลยที่ 1ถูกพนักงานอัยการกองคดีแขวงพระนครใต้เป็นโจทก์ฟ้อง ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทหรือไม่ การฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าว ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คดีอาญาดังกล่าวฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ดังนี้ศาลจะต้องฟังในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1มิได้ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทการกระทำของจำเลยที่ 1ย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังขับด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารพึ่งเข้าชนเด็กชายชาตรีวันเสบย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 1,291,935 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์รับส่งผู้โดยสารด้วยความเร็วประมาณ 20-24 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่เป็นความประมาทของเด็กชายชาตรี วันเสบย ที่วิ่งข้ามถนนจากฝั่งตรงกันข้ามตัดหน้ารถยนต์โดยสารอย่างกระชั้นชิด จำเลยที่ 1ไม่สามารถหยุดรถยนต์โดยสารได้ทันจึงเฉี่ยวเด็กชายชาตรีล้มลงได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ประมาท จำเลยทั้งสองไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 330,135 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2530จนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่กรรม นายยูซบ วันเสบยบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า มูลกรณีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ถูกพนักงานอัยการกองคดีแขวงพระนครใต้เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาต่อศาลแขวงพระนครใต้ในข้อหาขับรถยนต์โดยสารโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารชนเด็กชายชาตรี วันเสบยได้รับอันตรายสาหัส ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลแขวงพระนครใต้คดีหมายเลขแดงที่ 10926/2532 แล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ และศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลแขวงพระนครใต้วินิจฉัยในคดีอาญาดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารด้วยความเร็วสูงชนเด็กชายชาตรีเป็นการกระทำโดยประมาท จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46(ที่ถูกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46) นั้น เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารชนเด็กชายชาตรีโดยประมาทหรือไม่ การฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ซึ่งคดีอาญาดังกล่าวฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ดังนี้ ศาลจำต้องฟังในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์โดยสารชนเด็กชายชาตรีโดยประมาท การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นอีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share