คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า ศาลจึงไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 คงลงโทษได้เพียงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา80, 83, 288
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) จำคุกคนละ 5 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุก 1 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าบาดแผลของผู้เสียหายเป็นอันตรายสาหัสแล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร ดังนั้นเมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าศาลย่อมไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 คงลงโทษได้เพียงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เท่านั้น ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 83 ให้จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share