คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3142/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าผู้ร้องไม่ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นโดย ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้มีการรับโอนหุ้นตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 จึงไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทลูกหนี้ ตามมาตรา 1141ถือว่าผู้ร้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อที่ว่า ผู้ร้องไม่ได้รับโอนหุ้นของบริษัทลูกหนี้และไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทลูกหนี้ที่ผู้ร้องยกบทกฎหมายดังกล่าวขึ้นอ้าง ก็เพียงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างที่ว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทลูกหนี้อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงนั่นเอง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท คดีย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามมาตรา 224 และผู้ร้องไม่มีสิทธิฎีกา ตามมาตรา 247 ประกอบมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บริษัทจำเลยล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลย) แล้ว ในการจัดการทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องถือหุ้นอยู่ในบริษัทลูกหนี้ ๔๙๙ หุ้นมูลค่าหุ้น ๑๐๐ บาท และค้างชำระค่าหุ้นจำนวน ๑๒,๔๗๕ บาท แต่ผู้ร้องปฏิเสธหนี้จึงแจ้งจำนวนหนี้เป็นหนังสือยืนยันไปยังผู้ร้องให้ชำระหนี้จำนวนดังกล่าว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องไม่เคยถือหุ้นของบริษัทลูกหนี้หรือรับโอนหุ้นจากผู้ใดหุ้นของบริษัทลูกหนี้เป็นหุ้นชนิดระบุชื่อ การที่บัญชีผู้ถือหุ้นหรือเอกสารอื่นใดของบริษัทลูกหนี้มีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้น เป็นการกระทำของบริษัทลูกหนี้ฝ่ายเดียวการโอนเป็นโมฆะ
เจ้าพนักงานพิทักษ์แถลงคัดค้านว่า ผู้ร้องมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทลูกหนี้ด้วยการรับโอนหุ้นตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันประชุมสามัญ ซึ่งบริษัทลูกหนี้ส่งไว้ต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เชื่อว่ามีข้อความตรงกับสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เมื่อผู้ร้องมีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นย่อมสันนิษฐานว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๔๑ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องให้ผู้ร้องชำระเงิน ๑๒,๔๗๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ผู้ร้องอุทธรณ์ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ถือหุ้นและค้างชำระค่าหุ้นแก่บริษัทลูกหนี้ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่า ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท คดีต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องหาใช่เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ เพราะผู้ร้องขอให้วินิจฉัยว่า เมื่อผู้ร้องมิได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย มิได้มีการรับโอนหุ้นตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๖๙ กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๔๑ ผู้ร้องจึงมิใช่ผู้ถือหุ้นในบริษัทลูกหนี้ ไม่มีหน้าที่ชำระค่าหุ้น ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว และกลับคำสั่งศาลชั้นต้นยกคำทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสียนั้น เห็นว่าในชั้นอุทธรณ์ผู้ร้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อที่ว่าผู้ร้องมิได้รับโอนหุ้นของบริษัทลูกหนี้และมิได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทลูกหนี้ ที่ผู้ร้องบทกฎหมายดังกล่าวขึ้นอ้างก็เพียงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างที่ว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทลูกหนี้อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงนั่นเองเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท คดีย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามมาตรา ๒๒๔ และผู้ร้องไม่มีสิทธิฎีกาตามมาตรา ๒๔๗ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษายืน

Share