คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดพระนคร ได้รับอนุญาตให้ทำไม้หมอนจากป่าโครงการของการรถไฟที่ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการทำไม้หมอน โจทก์ต้องเดินทางจากจังหวัดพระนคร ไปควบคุมดูแลกิจการเป็นครั้งคราว เมื่อตรวจดูกิจการในตอนกลางวันแล้ว ในตอนกลางคืนก็กลับมาอาศัยพักนอนที่บ้านนายสุรินทร์ ปฏิบัติเช่นนี้เดินละครั้งบ้าง สองครั้งบ้าง และครั้งหนึ่งเป็นเวลา 3-4 วัน โดยไม่เสียค่าเช่าพักแก่เจ้าของบ้าน ดังนี้ บ้านของนายสุรินทร์ที่โจทก์มาอาศัยครั้งคราว ย่อมไม่เป็นสถานการค้าของโจทก์ตามความหมายของมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 ซึ่งใช้อยู่ในระหว่างปีประเมินเก็บค่าภาษีจากโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้ทำป่าไม้โครงการของการรถไฟ มีหน้าที่ทำไม้หมอนแปรรูปส่งให้การรถไฟตามปริมาณและคุณภาพที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยขนส่งเข้าโรงงานอาบยา ณ สถานีห้วยมุด อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี การจัดทำไม้หมอนแปรรูปนี้ โจทก์มิได้มีสถานที่ทำการหรือสั่งงานแน่นอนของตนเอง เป็นแต่ช่วยเหลือให้เงินค่าจากมุงหลังคาเพิงที่พักคนงานซึ่งทำขึ้นกลางป่า และมีการเคลื่อนย้ายไม่คงอยู่กับที่ การสั่งงานและจ่ายเงิน โจทก์มักนัดไปจ่ายกัน ณ สถานที่พักชั่วคราวนั้น หรือ ณ ที่ที่ขนไม้หมอนมากองไว้ริมทางรถไฟ สถานที่เช่นนี้โจทก์เข้าใจว่ามิใช่สถานที่ใช้ทำการค้าหรือประกอบธุรกิจตามประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนการค้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๑ จำเลยรับราชการเป็นสรรพากรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเป็นเจ้าพนักงานประเมิน ได้ทำการประเมินค่ารายปี ณ สถานที่อยู่อาศัยของผู้อื่นว่าเป็นสถานการค้าของโจทก์เพื่อประสงค์จะเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์ย้อนหลังโดยไม่ชอบ แล้วมีคำสั่งให้โจทก์ไปยื่นคำขอจดทะเบียนการค้าภายใน ๓๐ วัน โจทก์อุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ๆ วินิจฉัยว่าเป็นสถานการค้า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา๗๘ ให้ยกอุทธรณ์โจทก์และพร้อมกันนี้จำเลยได้ประเมินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลย้อนหลังไปยังโจทก์ ๆ เห็นว่าไม่ชอบ จึงขอให้ศาลพิพากษายกเลิกคำสั่งประเมินภาษีนั้นเสีย และมีคำสั่งให้งดประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์โดยอาศัยการประเมินค่ารายปีของสถานการค้าหรือบ้านผู้อื่นจากโจทก์เสีย
จำเลยให้การว่า โจทก์ประกอบการค้าโดยอาศัยบ้านนายสุรินทร์ซึ่งถือว่าเป็นสถานการค้าของโจทก์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๗๘ จำเลยได้ตรวจสอบและประเมินค่ารายปีสถานการค้าของโจทก์และแจ้งจำนวนเงินที่ต้องชำระให้โจทก์ปฏิบัติเป็นการถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว กับตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้และฟังว่าโจทก์มาพักอาศัยบ้านนายสุรินทร์เป็นครั้งคราว เพราะโจทก์อยู่จังหวัดพระนคร มาประกอบการทำไม้หมอนรถไฟในป่า บ้านที่โจทก์มาพักเช่นนี้ไม่ใช่สถานการค้าของโจทก์ พิพากษายกเลิกคำสั่งของจำเลยและให้จำเลยงดเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์สำหรับปี พ.ศ. ๒๔๙๙, ๒๕๐๐, ๒๕๐๑ เสีย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ อ้างฎีกาที่ ๔๒๓/๒๕๐๓ และฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดพระนคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ โจทก์เป็นผู้ประมูลได้รับอนุญาตให้ทำไม้หมอนจากป่าโครงการรถไฟที่ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วส่งมอบให้การรถไฟที่สถานีห้วยมุด การจ่ายเงินค่าไม้หมอนจ่ายกันที่จังหวัดพระนคร ในการทำไม้หมอนโจทก์ต้องเดินทางจากจังหวัดพระนครไปควบคุมดูแลกิจการเป็นครั้งคราว เมื่อตรวจดูแลในตอนกลางวันแล้ว ในตอนกลางคืนก็กลับมาอาศัยพักนอนที่บ้านนายสุรินทร์ซึ่งตั้งอยู่ที่ตลาดห้วยมุด โจทก์มาตรวจกิจการและพักที่บ้านนายสุรินทร์ เช่นเดือนละครั้งบ้าง สองครั้งบ้าง และครั้งหนึ่งเป็นเวลา ๓-๔ วัน โดยไม่เสียค่าเช่าพักแก่เจ้าของบ้าน ศาลฎีกาเห็นว่า การพิจารณาว่า บ้านของนายสุรินทร์ซึ่งจำเลยอาศัยพักเป็นครั้งคราวนี้เป็นสถานการค้าของโจทก์หรือไม่ จะต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งใช้อยู่ในระหว่างปีประเมินเก็บค่าภาษีจากโจทก์จนเกิดคดีนี้เป็นหลัก ศาลฎีกาพิจารณาความหมายของ “สถานการค้า” ตามมาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัตินี้แล้ววินิจฉัยว่า

การที่โจทก์ใช้บ้านของนายสุรินทร์เป็นที่อาศัยพักนอนชั่วครั้งชั่วคราว แม้จะมีการจ่ายเงินแก่คนงานลูกจ้างหรือทำกิจธุระติดต่อทางจดหมายก็ไม่เป็นการใช้สถานที่นั้นประกอบการค้าหรือดำเนินการค้าประจำหรือชั่วคราว ศาลฎีกาได้หยิบยกพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งกำหนดเรื่อง “สถานการค้า” ขึ้นใหม่ ขึ้นวินิจฉัยเปรียบเทียบแล้วสรุปว่า เมื่อคดีนี้ ภาษีที่จำเลยประเมินเก็บจากโจทก์นั้น ตกอยู่ในระยะเวลาใช้พระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๔๙๖ บังคับ และไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เช่นในปัจจุบัน โจทก์ก็ไม่ต้องเสียภาษีนั้น เพราะโจทก์ไม่มีสถานที่การค้าดังกล่าวแล้ว พิพากษายืน

Share