แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนย่อมตกลงกันให้แบ่งเงินของห้างหุ้นส่วนเมื่อใดก็ได้ทำนองเดียวกับเจ้าของรวมตกลงแบ่งทรัพย์กันนั่นเอง จำเลยรับเงินส่วนแบ่งจำนวนหนึ่งมาจากศาลตามที่ศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งเงินค่าสินค้าของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมให้แก่โจทก์ที่1กับจำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนโดยห้างหุ้นส่วนนั้นเลิกกันแล้วและอยู่ในระหว่างที่มีการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนอยู่เงินส่วนที่แบ่งให้จำเลยก็ตกเป็นของจำเลยผู้ชำระบัญชีหามีอำนาจที่จะเรียกร้องหรือเข้าเก็บรักษาเงินจำนวนนี้โดยอ้างป.พ.พ.มาตรา1259ได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ที่ 1 ได้เข้าหุ้นกับำจเลยผลิตสินค้าออกจำหน่ายโดยมิได้จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน ต่อมาศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เลิกห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยตั้งโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยได้ฟ้องโจทก์ที่ 1 เป็นอีกคดีหนึ่งเกี่ยวกับเงินค่าสินค้าของห้างหุ้นส่วน ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงินส่วนของจำเลยครึ่งหนึ่งจำนวน239,297 บาท ให้จำเลย จำเล239,297 บาท ให้จำเลย จำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไป่จากศา239,297 บาท ให้จำเลย จำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากศาลแล้วศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีนี้ภายหลังที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้เลิกห้างหุ้นส่วนและตั้งผู้ชำระบัญชี การชำระบัญชีไม่เสร็จ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 239,297 บาท พร้อมดอกเบี้ยคืนโจทก์ที่ 2
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เพราะศาลฎีกาได้แบ่งเงินให้โจทก์และจำเลยคนละครึ่ง ได้แยกจากการเป็นหุ้นส่วนกันแล้ว ถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบ ผู้ชำระบัญชีไม่ต้องชำระบัญชีอีก
ศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยได้รับเงินไปตามคำพิพากษาของศาลแม้ห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งโจทก์ที่ 1กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนได้เลิกกัน และอยู่ในระหว่างชำระบัญชี แต่โจทก์แสดงไม่ได้ว่า จำเลยมีหน้าที่และความรับผิดที่จะต้องส่งเงินจำนวน 239,247 บาท คืนห้าง จำเลยจึงยังไม่ต้องส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว วินิจฉัยว่า “…เงินที่จำเลยรับมาจากศาลตามคำพิพากษา ศาลฎีกานั้น แม้เดิมจะเป็นเงินของห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลย แต่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวมิได้เป็นนิติบุคคล โดยแท้จริงแล้ว เงินดังกล่าวก็คือเงินของผู้เป็นหุ้นส่วนคือ โจทก์ที่ 1 และจำเลยร่วมกันนั้นเอง ผู้เป็นหุ้นส่วนย่อมตกลงให้แบ่งเงินของห้างหุ้นส่วนเมื่อใดก็ได้ ทำนองเดียวกับเจ้าของรวมตกลงแบ่งทรัพย์กันนั่นเอง ที่จำเลยรับเงินจำนวนดังกล่าวมานั้นก็เนื่องมาจากศาลพิพากษาให้แบ่งเงินค่าสินค้าของห้างหุ้นส่วนอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมให้แก่โจทก์ที่ 1 และจำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนเงินส่วนที่แบ่งให้จำเลย ก็ตกเป็นของจำเลยแล้ว หาใช่ยังคงเป็นเงินของห้างหุ้นส่วน อันจำเลยจะต้องส่งมอบให้ผู้ชำระบัญชีหรือเป็นเงินที่จะต้องแบ่งให้โจทก์ที่ 1 อีกไม่ โจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชี หามีอำนาจที่จะเรียกร้องหรือเข้าเก็บรักษาเงินจำนวนนี้โดยอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1259 ดังที่โจทก์ฎีกาไม่หากการชำระบัญชีเสร็จแล้ว โจทก์ที่ 1 จะมีสิทธิเรียกร้องอะไรจากจำเลย ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ที่ 1 จะต้องไปเรียกร้องเอาตามสิทธินั้นต่อไป
พิพากษายืน”.