คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313-314/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คูพิพาทเป็นเขตระหว่างที่ของโจทก์และจำเลย จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1344 ว่าเจ้าของที่ดินทั้งสองข้างเป็นเจ้าของรวมกันเมื่อจำเลยอ้างว่าคูซึ่งเป็นเขตระหว่างที่โจทก์และจำเลยเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวจำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้พิจารณารวมกัน โดยโจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องจำเลยคนเดียวกันว่า บุกรุกลำคูน้ำเข้ามาปักเสาและทำรั้วบนคันนาของโจทก์และทำรั้วอ้อมคูระบายน้ำเป็นการกีดขวางสิทธิการใช้น้ำของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยถอนรั้วและทำคันนาของโจทก์ให้เป็นไปตามเดิม

จำเลยต่อสู้ว่า คูน้ำสาธารณะไม่มี มีแต่คูเล็ก ๆ ของจำเลยขุดจำเลยปักเสากั้นรั้วในที่ดินของจำเลย ไม่ได้ละเมิดสิทธิโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า คดีโจทก์ฟังไม่ได้ว่าคูพิพาทเป็นคูน้ำสาธารณะคันนาพิพาทเป็นของจำเลย ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คูพิพาทเป็นเขตระหว่างนาโจทก์กับจำเลย คูพิพาทจึงเป็นหมายเขตที่ดินของทั้งสองฝ่าย จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เจ้าของที่ดินทั้งสองข้างเป็นเจ้าของรวมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1344 เมื่อจำเลยอ้างว่าเป็นคูที่จำเลยขุดในเขตนาของจำเลย เพื่อประโยชน์ของจำเลยแต่ผู้เดียว จำเลยจึงมีหน้าที่พิสูจน์ว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยกล่าวอ้าง แต่ข้อนำสืบของจำเลยไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ คดีจึงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองกับจำเลยเป็นเจ้าของคูพิพาทรวมกันคันคูทั้งสองฝั่งจึงต่างเป็นคันนาของแต่ละฝ่าย คันคูฝั่งข้างนาโจทก์จึงเป็นคันนาของโจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่มีอำนาจที่จะปิดกั้นล้อมรั้วรุกล้ำลำคูและคันนาของโจทก์ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากลำคูและคันนาของโจทก์ทั้งสอง

Share