แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่า ความจริงจำเลยเห็น ส. เป็นคนร้าย แต่จำเลยมาเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาว่า ส. มิใช่คนร้าย อันเป็นการบรรยายถึงว่าความเท็จและความจริงเป็นอย่างไรแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร แต่โจทก์ได้บรรยายถึงข้อที่ว่า ส. ต้องหาว่าร่วมกันฆ่าผู้ตาย กับ ส. เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและจำเลยอันเป็นข้อสำคัญในคดี เมื่อความจริงจำเลยเห็น ส. เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและจำเลย แล้วจำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร และ ส. มิใช่คนร้ายคำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้ในตัวเองฟ้องโจทก์ดังกล่าวมีรายละเอียดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยให้การต่อพันตำรวจตรีพินิจพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอป่าบอน ในฐานะที่จำเลยเป็นประจักษ์พยานในคดีที่นายสายัณห์หรือสังข์กับพวกต้องหาว่าร่วมกันฆ่านายศิริธรถึงแก่ความตายด้วยความเป็นจริงตามที่จำเลยรู้เห็นเหตุการณ์ ใจความว่า “เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2543 เวลาประมาณ 15.30 นาฬิกา ขณะที่พยาน ผู้ตาย และพวกกำลังเล่นน้ำสงกรานต์และดื่มสุรากัน มีนายสายัณห์กับพวกเข้ามารุมชกต่อยผู้ตายและกลุ่มของพยาน จากนั้นเห็นนายสายัณห์ใช้อาวุธมีดแทงประทุษร้ายผู้ตายจนล้มลง เมื่อพยานจะเข้าไปช่วยผู้ตาย นายสายัณห์ใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงถูกพยานที่บริเวณหัวไหล่ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย” ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีจนกระทั่งนายสายัณห์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมดำเนินคดี ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดพัทลุงนำจำเลยเข้าเบิกความต่อศาลชั้นต้นในฐานะเป็นประจักษ์พยานตามที่จำเลยเห็นเหตุการณ์และให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวน ในคดีดังกล่าวจำเลยเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1181/2545 ใจความว่า “ในวันเกิดเหตุที่มีคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงนายศิริธรถึงแก่ความตาย และแทงพยานได้รับบาดเจ็บนั้น พยานไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใครและนายสายัณห์มิใช่คนร้ายที่แทงผู้ตายกับพยานแต่อย่างใด” อันเป็นการเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาลและข้อความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนในฐานะประจักษ์พยานในคดีที่นายสายัณห์หรือสังข์กับพวกต้องหาว่าร่วมกันฆ่านายศิริธรถึงแก่ความตาย ด้วยความเป็นจริงตามที่จำเลยเห็นเหตุการณ์ว่าขณะที่พยาน ผู้ตายและพวกกำลังเล่นน้ำสงกรานต์และดื่มสุรากัน มีนายสายัณห์กับพวกเข้ามารุมชกต่อยผู้ตายและกลุ่มของพยาน จากนั้นเห็นนายสายัณห์ใช้อาวุธมีดแทงประทุษร้ายผู้ตายจนล้มลง เมื่อพยานจะเข้าไปช่วยผู้ตาย นายสายัณห์ให้อาวุธมีดดังกล่าวแทงถูกพยานที่บริเวณหัวไหล่ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีจนกระทั่งนายสายัณห์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมดำเนินคดี ต่อมาโจทก์นำจำเลยเข้าเบิกความต่อศาลในฐานะประจักษ์พยานตามที่จำเลยเห็นเหตุการณ์และให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวน ในคดีดังกล่าวจำเลยเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นว่า ในวันเกิดเหตุที่มีคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงนายศิริธรถึงแก่ความตายและแทงพยานได้รับบาดเจ็บนั้น พยานไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร และนายสายัณห์มิใช่คนร้ายที่แทงผู้ตายกับพยานแต่อย่างใด อันเป็นการเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาลและข้อความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายว่าความจริงจำเลยเห็นนายสายัณห์เป็นคนร้าย แต่จำเลยมาเบิกความเท็จว่านายสายัณห์มิใช่คนร้าย อันเป็นการบรรยายถึงว่าความเท็จและความจริงเป็นอย่างไรแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร แต่โจทก์ได้บรรยายถึงข้อที่ว่านายสายัณห์ต้องหาว่าร่วมกันฆ่าผู้ตาย กับนายสายัณห์เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและจำเลยอันเป็นข้อสำคัญในคดี เมื่อความจริงจำเลยเห็นนายสายัณห์เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและจำเลย แล้วจำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร และนายสายัณห์มิใช่คนร้าย คำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้ในตัวเอง ฟ้องโจทก์ดังกล่าวมีรายละเอียดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน