แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตยักยอกถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผน เช่นนี้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งซึ่งผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 4 กับพวกให้ชดใช้เงินดังกล่าวในคดีอาญาคืนฐานละเมิด ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า “ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น” ลงชื่อ “ดำรง แทน” เช่นนี้มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถื่อว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกคนเป็นพนักงานกองประปากรุงเทพ ซึ่งเป็นหน่วยงานของโจทก์ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๐๕ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ คือ เงินค่าน้ำที่เก็บได้ ๙๙,๑๓๒ บาท ๖๕ สตางค์ และบิลค่าน้ำที่พิมพ์แล้วถือเป็นตัวเงิน ๑๒๙,๔๒๑ บาท ๕๐ สตางค์ รวมเป็นเงิน ๒๒๘,๕๕๔ บาท ๑๕ สตางค์ เหตุที่เกิดการทุจริตขึ้นได้เพราะจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ปฏิบัติงานและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ด้วยความประมาทเลินเล่อ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ร่วมกันชดใช้เป็นเงิน ๒๒๘,๕๕๔ บาท ๑๕ สตางค์ ให้จำเลยที่ ๖ ชดใช้ร่วมกับจำเลยอีก ๕ คน ในบิลที่ขาดหายไปเป็นเงิน ๑๒๙,๔๒๑ บาท ๕๐ สตางค์แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งหกคนต่างให้การปฏิเสธความรับผิดและต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๒๒๘,๕๕๔ บาท ๕๐ สตางค์ ซึ่งมีจำนวนเงิน ๑๐๖,๙๐๖ บาท ๕๐ สตางค์ ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีอาญารวมอยู่ด้วยให้โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ ๔ ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ด้วย และคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ไม่ขาดอายุความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นจำเลยต่อศาลอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ยักยอกตามคดีดำของศาลอาญาที่ ๑๔๖/๒๕๐๖ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาหรือข้ออ้างของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ในเงินส่วนหนึ่งที่อ้างว่าจำเลยยักยอกไปนั้นเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา คดีหมายเลขดำที่ ๑๔๖/๒๕๐๖ ถึงที่สุดชั้นศาลอุทธรณ์โดยศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๔ ปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผนไม่ต้องรับผิดในเงินจำนวน ๑๔,๐๗๐ บาท ๕๐ สตางค์ ตามบิล ๙ ฉบับ เงินนอกนั้นโจทก์นำสืบไม่ถึงว่า จำเลยที่ ๔ มีส่วนหรือร่วมมือกระทำผิดด้วย จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงิน ๑๐๖,๙๐๖ บาท ๕๐ สตางค์ ที่จำเลยที่ ๔ ถูกฟ้องในคดีอาญาอันเป็นส่วนหนึ่งของเงินที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ โจทก์จะอ้างว่าจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ไปเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำตามใบเสร็จรวม ๙ ฉบับ และไม่ได้นำส่งจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่ได้ สำหรับเงินจำนวนนอกจากนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ยักยอก
ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ที่โจทก์อ้างว่ายังไม่ขาดอายุความเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ นั้น ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ต่างกันกับของจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ คือ สำหรับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ บรรยายว่าได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่อัน หมายถึงว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ได้ทำละเมิดโดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริตเป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามอำนาจแห่งเจ้าของทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ ประกอบด้วยมาตรา ๔๓๘ ที่ว่าค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ โจทก์บรรยายฟ้องให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะจำเลยทั้งสองนี้ปฏิบัติงานและควบคุมการปฏิบัติงานจากจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความผิดในค่าเสียหายซึ่งบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา ๔๓๘ วรรค ๒ ตอนท้าย กรณีของจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ จึงแตกต่างกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และต้องปรับด้วยมาตรา ๔๔๘ วรรคแรก
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งเกี่ยวกับเรื่องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ต้องหาว่ายักยอกเงินได้รายงานต่ออธิบดีกรมโยธาเทศบาลว่า เห็นความให้จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ร่วมกันชดใช้ นายดำรง ชลวิจารณ์ รองอธิบดีกรมโยธาเทศบาลได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖ และสั่งว่า “ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น” ลงชื่อ “ดำรง แทน” ดังนี้เป็นเรื่องนายดำรงรองอธิบดีสั่งแทนอธิบดีที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖ แต่โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ ๗ (ที่ถูกเป็นวันที่ ๑๐) กรกฎาคม ๒๕๐๗ จึงพ้นหนึ่งปีตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ แล้ว ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ จึงขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน