แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หนังสือสัญญากู้เงินมีใจความว่า ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีและในกรณีมีเหตุจำเป็นยินยอมให้ผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดเมื่อใดก็ได้แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ แสดงว่าตามหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แม้จำเลยทั้งสองไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้ การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวเข้าลักษณะดอกผลนิตินัยที่โจทก์พึงได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 วรรคสาม แม้ในช่วงแรกโจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองไม่ถึงร้อยละ 19 ต่อปี ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ให้ประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองนอกเหนือจากข้อตกลงในสัญญา ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะไม่ยอมให้ประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองอีกต่อไปโดยกลับไปคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามข้อตกลงในสัญญาได้ หาใช่เป็นเรื่องลูกหนี้สัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้เป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง อันจะถือว่าเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ไม่ โจทก์ชอบที่จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญากู้เงินได้
ข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองตามหนังสือสัญญากู้เงินไม่ใช่การแสดงเจตนาเพื่อลวงบุคคลอื่น และไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองมีเจตนาทำสัญญาฉบับนี้อำพรางสัญญาฉบับอื่นแต่อย่างใด จึงไม่เข้าลักษณะนิติกรรมอำพรางที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองลดลงเหลืออัตราร้อยละ 16 ต่อปีได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 550,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หรืออัตราใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำลงได้และตามอัตราใหม่ตามประกาศของโจทก์ โดยไม่จำต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบล่วงหน้า เพื่อเป็นประกันการกู้เงินดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 41511 พร้อมส่วนควบไว้แก่โจทก์ ในวงเงิน 550,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หลังจากทำสัญญาจำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้แก่โจทก์หลายงวด โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวม 23 ครั้ง ครั้งสุดท้ายจากอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้หลายครั้งและแจ้งให้ไถ่ถอนจำนองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 586,347.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 523,862.74 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ออกแทนไปคืนแก่โจทก์จำนวน 985 บาท ทุกวันที่ 1 ของทุกสามปีเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 จนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์จนเสร็จสิ้น หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ขอให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากขายได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 580,204.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงิน 523,862.74 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 41511 ตำบลคลองหนึ่ง (คลอง 1 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า จำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 550,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตกลงผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 6,000 บาท และยินยอมให้โจทก์ปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยได้โดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบล่วงหน้า และจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการชำระหนี้นับแต่ทำสัญญา จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้หลายครั้ง โจทก์ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยรวม 23 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 จากอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 19 ต่อปี มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ซึ่งโจทก์เรียกจากจำเลยทั้งสองเป็นเบี้ยปรับหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือสัญญากู้เงิน ข้อ 1 มีใจความว่า ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และในกรณีมีเหตุจำเป็นยินยอมให้ผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดเมื่อใดก็ได้ แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้แสดงว่าตามหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แม้จำเลยทั้งสองมิได้ผิดนัดชำระหนี้ การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวเข้าลักษณะดอกผลนิตินัยที่โจทก์พึงได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 วรรคสาม แม้ในครั้งแรกและช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 โจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองไม่ถึงร้อยละ 19 ต่อปี ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ให้ประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองนอกเหนือจากข้อตกลงในสัญญา ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะไม่ยอมให้ประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองอีกต่อไป โดยกลับไปคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามข้อตกลงในสัญญาได้กรณีหาใช่เรื่องลูกหนี้สัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้เป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง อันจะถือว่าเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 ไม่ โจทก์จึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีได้ตามที่โจทก์ขอ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกำหนดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตามหนังสือสัญญากู้เงินแท้จริงคือการอำพรางข้อตกลงในหนังสือสัญญากู้เงินที่ว่า หากผิดนัดแล้วโจทก์สามารถปรับเปลี่ยนไปคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยผิดนัดนั่นเอง ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมอำพรางต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้นั้น เห็นว่า นิติกรรมอำพรางคือการที่บุคคลสองฝ่ายแสร้งแสดงเจตนาทำนิติกรรมอันหนึ่งอำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่งซึ่งมีเจตนาอันแท้จริงมุ่งจะผูกนิติสัมพันธ์กัน นิติกรรมอำพรางจึงไม่ใช่เจตนาอันแท้จริง แต่เป็นการแสดงเจตนาเพื่อลวงบุคคลอื่นโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองตามหนังสือสัญญากู้เงินมิใช่การแสดงเจตนาเพื่อลวงบุคคลอื่น และไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองมีเจตนาทำสัญญาฉบับนี้อำพรางสัญญาฉบับอื่นแต่อย่างใด กรณีจึงไม่เข้าลักษณะนิติกรรมอำพราง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองลดลงเหลืออัตราร้อยละ 16 ต่อปี ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 523,862.74 บาท นับแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 62,484.99 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น