คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องมีรถบรรทุกของกลางไว้เพื่อรับจ้าง การที่ผู้ร้องขึงผ้ากระสอบไว้เพื่อกำหนดความสูงมิให้จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างบรรทุกน้ำหนักเกิน และกำชับจำเลยไม่ให้บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นเพียงวิธีการควบคุมเบื้องต้นและเป็นเรื่องภายในระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังมีหน้าที่ตรวจตราโดยหาวิธีอื่นมาควบคุมมิให้จำเลยบรรทุกน้ำหนักเกินอีกด้วย มิใช่ปล่อยให้จำเลยขับรถบรรทุกของกลางไปบรรทุกข้าวเปลือกโดยไม่ควบคุมดูแลการบรรทุก ดังนั้น การที่ผู้ร้องปล่อยปละละเลยจนจำเลยขับรถบรรทุกของกลางบรรทุกข้าวเปลือกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 4, 61, 73 และริบรถบรรทุกสิบล้อ หมายเลขทะเบียน 80-4857 สิงห์บุรี ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถบรรทุกสิบล้อ หมายเลขทะเบียน 80-4857 สิงห์บุรี ของกลาง จำเลยเป็นลูกจ้างของผู้ร้อง วันเกิดหตุผู้ร้องใช้ให้จำเลยขับรถบรรทุกของกลางบรรทุกข้าวเปลือกของนายอนุสิทธิ์ เต่าแก้ว ไปส่งโรงสีตั้งพัฒนา ตามที่นายอนุสิทธิ์ว่าจ้าง ระหว่างทางเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยในข้อหาใช้ยานพาหนะบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และศาลมีคำสั่งริบรถบรรทุกของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ ที่ผู้ร้องนำสืบว่า วันเกิดเหตุผู้ร้องสั่งให้จำเลยไปบรรทุกข้าวเปลือกเพียง 15 เกวียน แต่จำเลยบรรทุกข้าวเปลือกที่เหลืออีกประมาณ 1 เกวียนไปด้วย เป็นเหตุให้น้ำหนักบรรทุกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดนั้น ข้อเท็จจริงแตกต่างกับที่ผู้ร้องและจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การที่ว่าก่อนวันเกิดเหตุมีฝนตกหนัก ข้าวเปลือกที่บรรทุกไปมีความชื้นสูง เป็นเหตุให้น้ำหนักบรรทุกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น ที่ผู้ร้องนำสืบว่าวันเกิดเหตุจำเลยบรรทุกข้าวเปลือกในปริมาณเกินกว่าที่ผู้ร้องสั่งให้บรรทุกจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่ผู้ร้องเบิกความว่า ได้ใช้ผ้ากระสอบเพื่อกำหนดความสูงมิให้จำเลยบรรทุกเกิน และผู้ร้องกำชับจำเลยไม่ให้บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดนั้น เห็นว่า ผู้ร้องมีรถบรรทุกของกลางไว้เพื่อรับจ้าง การที่ผู้ร้องขึงผ้ากระสอบไว้เพื่อกำหนดความสูงมิให้จำเลยบรรทุกเกินและกำชับจำเลยไม่ให้บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นเพียงวิธีการควบคุมเบื้องต้น และเป็นเรื่องภายในระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังมีหน้าที่ตรวจตราโดยหาวิธีอื่นมาควบคุมมิให้จำเลยบรรทุกน้ำหนักเกินอีกด้วย มิใช่ปล่อยให้จำเลยขับรถบรรทุกของกลางไปบรรทุกข้าวเปลือกโดยไม่ควบคุมดูแลการบรรทุก ดังนั้น การที่ผู้ร้องปล่อยปละละเลยจนจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถบรรทุกของกลางบรรทุกข้าวเปลือกน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง

Share