คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3124/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งห้าซึ่งมีอำนาจหน้าที่ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงได้ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ดินของโจทก์เป็นการมิชอบ ขอให้เพิกถอนจำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะประเภทเลี้ยงสัตว์พาหนะซึ่งทางราชการได้ขึ้นทะเบียนไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆในที่พิพาท คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งจำเป็นจะต้องสืบพยานเพื่อฟังข้อเท็จจริงต่อไป การที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่พิพาทอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินมีผลเพียงให้เจ้าของที่ดินหรือผู้มีสิทธิได้รับที่ดินต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 เท่านั้น ไม่มีผลทำให้เจ้าของที่ดินหรือผู้มีสิทธิได้รับที่ดินต้องเสียสิทธิในที่ดินไปแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2506 ทางราชการได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 1149/2506 ให้ที่ดินทุ่งหนองอ้อปากคลองจิก ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลกจังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 1,280 ไร่ 2 งาน 85 ตารางวา เป็นที่ดินสำหรับใช้ในราชการกระทรวงมหาดไทย และเป็นที่สาธารณประโยชน์ในราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้ออกทับที่ดินของโจทก์และบุคคลอื่นอีกหลายรายที่ดินของโจทก์ทุกคนและที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่1149/2506 อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลท่าโพธิ์ ตำบลท่าทอง ตำบลวัดพริกอำเภอเมืองพิษณุโลก และตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. 2525 ออกตามความในมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517ที่ดินสาธารณประโยชน์และที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันจะถูกถอนสภาพไปโดยไม่ต้องดำเนินการเพิกถอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์ถูกเพิกถอนไปแล้ว โจทก์ทุกคนมีสิทธิเข้าครอบครองเป็นเจ้าของได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันดำเนินการเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 1149/2506 ลงวันที่ 1 เมษายน 2506ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเสีย หากจำเลยทั้งห้าไม่ดำเนินการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับขอให้สั่งว่าที่ดินตามแผนที่พิพาทแต่ละแปลงเป็นของโจทก์แต่ละคน จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการออกและเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง อำนาจดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดินเป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2461ทางราชการได้ขึ้นทะเบียนที่ดินทุ่งหนองอ้อ-ปากคลองจิกไว้เป็นที่สาธารณะประเภทเลี้ยงสัตว์พาหนะมีเนื้อที่ประมาณ 6,000 ไร่ ต่อมามีราษฎรหลายรายบุกรุกเข้าไปในที่สาธารณะดังกล่าวจนถึงปี พ.ศ. 2505จึงมีการรังวัดสำรวจปักหลักเขตเพื่อแสดงเขตที่ดินสาธารณะไว้ปรากฏว่ามีที่ดินเหลืออยู่เพียง 1,280 ไร่ 2 งาน 85 ตารางวาจึงได้ทำแผนที่และแสดงอาณาเขตที่ดินสาธารณะไว้โดยได้ประกาศและให้โอกาสคัดค้านภายใน 30 วัน แต่ไม่มีผู้ใดคัดค้าน อธิบดีกรมที่ดินจึงได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 1149/2506 ให้ที่สาธารณประโยชน์ทุ่งหนองอ้อ-ปากคลองจิก เป็นที่ดินสำหรับใช้ในราชการกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 8 ตรี การครอบครองที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นแม้จะครอบครองเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และโจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากถูกแย่งการครอบครองเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ที่ดินของโจทก์ทั้ง 39 คน อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. 2525 จึงตกเป็นทรัพย์สินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามความในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 โจทก์ไม่มีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงนี้จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 39 โดยถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องก่อนชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1 ตามคำขอของจำเลย โดยวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นทรัพย์สินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามมาตรา 43แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 จึงฟังไม่ได้ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามพระราชกฤษฎีกา ที่พิพาทต้องตกเป็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2517 มาตรา 43 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ต้องพิพากษายกฟ้องโดยไม่ต้องสืบพยานนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์มาก่อนปี พ.ศ. 2475 จำเลยทั้งห้าซึ่งมีอำนาจหน้าที่ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงได้ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในอำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกทับที่ดินของโจทก์ดังกล่าว เป็นการมิชอบ ขอให้เพิกถอน จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ ประเภทเลี้ยงสัตว์พาหนะที่ราชการได้ขึ้นทะเบียนไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งจำเป็นจะต้องสืบพยานเพื่อฟังข้อเท็จจริงต่อไป แม้จะได้ความว่าได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่พิพาทอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินก็ตาม แต่การกำหนดเขตที่ดินตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลเพียงให้เจ้าของที่ดินหรือผู้มีสิทธิได้รับที่ดินต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517เท่านั้น หาเป็นผลทำให้เจ้าของที่ดินหรือผู้มีสิทธิได้รับที่ดินต้องเสียสิทธิในที่ดินไปแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share