แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟังพยานหลักฐานชั้นไต่สวนมูลฟ้องกับชั้นพิจารณาแตกต่างกันในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพียงได้ข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบฐานความผิดที่ฟ้องโดยไม่มีข้อพิรุธอันเป็นที่ประจักษ์ชัดก็ฟังได้แล้วว่าความผิดฐานนั้นมีมูล ส่วนข้อเท็จจริงที่ได้ความจะเป็นความจริงหรือไม่ เป็นข้อที่จะต้องพิสูจน์กันอีกชั้นหนึ่งในชั้นพิจารณา ซึ่งในชั้นนี้จะต้องพิสูจน์ให้ได้ความจนสิ้นสงสัยว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นเป็นความจริง จึงจะฟังได้ว่ามีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,264, 268, 353
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานเอกสารปลอม ใช้เอกสารปลอมและยักยอกมีมูลหรือไม่โจทก์เบิกความยืนยันว่า ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความจำนวน 6 ฉบับ ให้จำเลยที่ 1 กับพวกไปดำเนินการขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ในนามโจทก์แทนโจทก์ไปก่อน แล้วโจทก์จะเป็นผู้ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้ซื้อในภายหลัง แต่แทนที่จำเลยที่ 1 กับพวกจะนำหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์มอบให้ดังกล่าวไปดำเนินการตามที่โจทก์มอบหมาย กลับนำเอาหนังสือมอบอำนาจฉบับหนึ่งที่โจทก์มอบให้ไปกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายสมพรอมรแสงเชิดศักดิ์ มีอำนาจขายที่ดินของโจทก์ตลอดจนให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการทำนิติกรรมขายที่ดินของโจทก์จำนวน 19 แปลงรวม 19 โฉนด แทนโจทก์ และได้จัดการโอนขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 ไปจำนวน 7 แปลง จำเลยที่ 2 จำนวน 5 แปลง จำเลยที่ 3จำนวน 6 แปลง และนายชัยยุทธ อีกจำนวน 1 แปลง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ โดยโจทก์มีสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 สำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 และสำเนาสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.4ถึง จ.7 เป็นพยานสนับสนุน เห็นว่า การฟังพยานหลักฐานชั้นไต่สวนมูลฟ้องกับชั้นพิจารณาแตกต่างกัน ชั้นไต่สวนมูลฟ้องฟังพยานเพียงแค่มีมูลความผิดตามฟ้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนชั้นพิจารณาต้องฟังพยานจนได้ความว่ามีความผิดตามฟ้องหรือไม่ ชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพียงได้ข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบฐานความผิดที่ฟ้องโดยไม่มีข้อพิรุธอันเป็นที่ประจักษ์ชัด ก็ฟังได้แล้วว่าความผิดฐานนั้นมีมูล ส่วนข้อเท็จจริงที่ได้ความจะเป็นความจริงหรือไม่ เป็นข้อที่จะต้องพิสูจน์กันอีกชั้นหนึ่งในชั้นพิจารณา ซึ่งในชั้นนี้จะต้องพิสูจน์ให้ได้ความจนสิ้นสงสัยว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นเป็นความจริงจึงจะฟังได้ว่ามีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง จากคำเบิกความของโจทก์และพยานเอกสารดังกล่าวแล้วข้างต้น เมื่อฟังประกอบกันแล้วได้ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมและยักยอกตามฟ้องโดยไม่มีข้อพิรุธอันเป็นที่ประจักษ์ชัดฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงมีมูลความผิดทั้งสามฐานความผิดดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 คงได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้รับโอนที่ดินตามหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 กับพวกทำปลอมขึ้นเท่านั้นข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอมและยักยอกตามฟ้อง ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีมูลความผิดทั้งสามฐานความผิดดังกล่าวคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 มีมูลความผิดฐานปลอมเอกสารใช้เอกสารปลอมและยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,268 และ 353 ตามลำดับ รับประทับฟ้องโจทก์ทั้งสามฐานความผิดดังกล่าวไว้พิจารณา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.