คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3121-3461/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนเลิกจ้างจำเลยที่1มีคำสั่งให้โจทก์ทั้งหมดไม่ต้องมาทำงานโดยจะจ่ายค่าจ้างให้โจทก์กึ่งหนึ่งแต่โจทก์ไม่พอใจจึงไปร้องเรียนต่อกระทรวงแรงงานฯต่อมาจำเลยที่1มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์การที่โจทก์ทั้งหมดหยุดงานจึงเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่1ไม่ใช่เป็นการนัดหยุดงานเมื่อมีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้การกระทำของโจทก์ดังกล่าวไม่เป็นการละทิ้งหน้าที่หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ2นิยามคำว่านายจ้างว่ากรณีนายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลจำเลยที่2และที่3เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่1จึงเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งหมดแต่กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1167เมื่อจำเลยที่2และที่3เลิกจ้างโจทก์โดยกระทำในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทนจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว

ย่อยาว

คดีทั้งสามร้อยยี่สิบเอ็ดสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน และให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 341 โดยโจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดสำนวนฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและเงินประกันพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ด
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดกับพวกได้ยกขบวนมาประท้วงและยื่นข้อเรียกร้องต่อกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมโดยโจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดกับพวกร่วมกันนัดหยุดงานเกินกว่า7 วัน นอกจากนี้โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดกับพวกได้ร่วมกันทำลายเครื่องจักรเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตรองเท้าและทรัพย์สินเครื่องใช้ในสำนักงาน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จำเลยที่ 1 ได้ชี้แจงสาเหตุให้ทราบและมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดกับพวกกลับเข้าทำงานแต่โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดกับพวกไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่ง ถือเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดได้รับเงินประกันการทำงานและค่าจ้างค้างจ่ายไปจากจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ และเป็นเพียงกรรมการของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามทุกสำนวนสละข้อต่อสู้ตามคำให้การที่ว่าโจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดกับพวกได้ทำลายทรัพย์สินของจำเลยและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้กลับเข้าทำงาน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงคงฟังเป็นยุติตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า ก่อนเลิกจ้างรวมทั้งระหว่างวันที่2 ถึงวันที่ 7 มีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ทั้งหมดไม่ต้องมาทำงาน โดยจะจ่ายค่าจ้างให้โจทก์กึ่งหนึ่ง แต่โจทก์ทั้งหมดไม่พอใจจึงไปร้องเรียนต่อกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมต่อมาวันที่ 8 มีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ดังนั้น การที่โจทก์ทั้งหมดหยุดงานไปนั้นจึงเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้าง หาเป็นการนัดหยุดงานเมื่อมีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ตามความหมายของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 ไม่ ส่วนที่โจทก์ไม่พอใจที่ได้รับค่าจ้างในระหว่างหยุดงานเพียงกึ่งหนึ่งและไปร้องเรียนต่อกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมนั้นเป็นการใช้สิทธิของโจทก์อันมีอยู่ตามปกติการกระทำของโจทก์ดังกล่าวไม่เป็นการละทิ้งหน้าที่หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1เลิกจ้างโจทก์โดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าและโจทก์ไม่มีความผิดจึงต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 ให้แก่โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ด ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามในประการสุดท้ายว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดหรือไม่ และจะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวหรือไม่เห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 2 ได้นิยามคำว่า นายจ้าง ไว้ว่า ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลและรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นด้วย ดังนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 จึงเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งหมดตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งหมดชอบแล้ว ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวหรือไม่ เห็นว่า โดยที่จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 70 ความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะได้ชื่อว่าเป็นนายจ้างก็ตาม กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1167 ซึ่งบัญญัติว่า”ความเกี่ยวพันกันในระหว่างกรรมการและบริษัทและบุคคลภายนอกนั้นท่านให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทน”คดีไม่ปรากฎว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เลิกจ้างโจทก์โดยกระทำนอกเหนือขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดโดยไม่ระบุว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามทุกสำนวนฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสามร้อยสี่สิบเอ็ดสำนวนแต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share