แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 7/1 (2) จะบัญญัติให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้ในชั้นสอบสวนและมาตรา 134/3 บัญญัติว่าผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ และมาตรา 134/4 (2) บัญญัติในเรื่องการถามคำให้การผู้ต้องหานั้นให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่าผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ก็ตาม แต่ในบทบัญญัติของมาตรา 134/4 วรรคท้าย ก็บัญญัติไว้แต่เพียงว่า ถ้อยคำใดๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา 134/3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้เท่านั้น ดังนั้น แม้พนักงานสอบสวนจะไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นก็หาทำให้การสอบสวนคดีไม่ชอบแต่อย่างใดไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2541 เวลากลางวัน จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 5 เม็ด น้ำหนัก 0.45 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อเป็นเงินจำนวน 500 บาท เหตุเกิดที่ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน จำนวน 5 เม็ด ที่จำเลยจำหน่ายและยึดเงินจำนวน 500 บาท ซึ่งได้จากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยและธนบัตรชนิดต่างๆ จำนวน 1,300 บาท ที่จำเลยได้จากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลางเมทแอมเฟตามีนของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 คืนเงินที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของและริบเงินจำนวน 1,300 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 5 ปี คืนเงินล่อซื้อแก่เจ้าของ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ลงโทษจำคุก 4 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเฉพาะฎีกาข้อ 2.2 ของจำเลยซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมมิได้เกิดจากความสมัครใจ เหตุที่จำเลยลงชื่อรับสารภาพในชั้นจับกุม เนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายจำเลยจนจำเลยเกิดความกลัว เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา คำรับสารภาพในชั้นจับกุมจึงไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยได้นั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาที่โต้เถียงว่าจำเลยให้การรับสารภาพเพราะถูกทำร้ายร่างกายจนจำเลยเกิดความกลัวจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็เป็นการสั่งโดยผิดหลง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่าการตรวจค้นของพยานโจทก์ในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าการตรวจค้นของพยานโจทก์จะได้กระทำลงไปโดยไม่มีหมายค้นอันจะทำให้การค้นไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหากลำพังเพียงเหตุดังกล่าวเพียงเหตุเดียวไม่มีผลถึงกับทำให้พยานโจทก์มีพิรุธตามที่จำเลยฎีกา ส่วนฎีกาข้อกฎหมายข้อสุดท้ายของจำเลยที่ว่า การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะพนักงานสอบสวนมิได้แจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหา (จำเลย) ทราบว่า ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ผู้ต้องหาไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำของตนได้และพนักงานสอบสวนมิได้ให้ทนายความหรือผู้ที่ผู้ต้องหาไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนด้วยนั้น เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7/1 (2) จะบัญญัติให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้ในชั้นสอบสวนปากคำตนได้ในชั้นสอบสวนและมาตรา 134/3 บัญญัติว่าผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้และมาตรา 134/4 (2) บัญญัติในเรื่องการถามคำให้การผู้ต้องหานั้นให้พนักงานสอบสงนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่าผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ก็ตาม แต่ในบทบัญญัติของมาตรา 134/4 วรรคท้าย ก็บัญญัติไว้แต่เพียงว่าถ้อยคำใดๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่งหรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา 134/3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้เท่านั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าพนักงานสอบสวนจะไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นก็ตามก็หาทำให้การสอบสวนคดีไม่ชอบแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้ริบเงินของกลาง 1,300 บาท ที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนรายอื่น แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ริบนั้นพอแปลได้ว่าศาลล่างทั้งสองเห็นควรคืนให้แก่เจ้าของ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรสั่งคืนแก่เจ้าของ”
พิพากษายืน แต่ให้คืนเงินของกลาง 1,300 บาท แก่เจ้าของ