แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อจำเลยมีความเห็นว่าลายมือชื่อในสัญญากู้พิพาทไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์และจำเลยมิได้ตกลงท้ากันให้ถือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เป็นข้อแพ้ชนะแล้ว แม้ความคิดเห็นตามหลักวิชาของพยานผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวจะเป็นพยานที่ศาลรับฟัง แต่ก็มิใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นอย่างไร ศาลต้องรับฟังตามนั้นเสมอไปเมื่อปรากฏว่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในใบรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องมีลักษณะการเขียนและขนาดของตัวหนังสือคล้ายคลึงกันกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในสัญญากู้พิพาท ศาลย่อมฟังว่าจำเลยที่ 2กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นสามีภรรยากัน จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์ไป 150,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีกำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยภายในวันที่ 25 เมษายน 2526 นับแต่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 4 ปี 8 เดือน รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน258,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันชำระเงินจำนวน 258,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 หย่ากันหลายปีแล้วจำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญากู้ตามฟ้อง ลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในช่องผู้กู้เป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยที่ 2 ไม่เคยตกลงที่จะใช้ดอกเบี้ยให้โจทก์ โจทก์ไม่เคยทวงถามจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 255,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่า จำเลยที่ 2กู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีตัวโจทก์ นายสุพจน์ทนายโจทก์และนางสาวรัตนาผู้เขียนสัญญาเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยทั้งสองติดต่อนายสุพจน์ให้หาเงินกู้ นายสุพจน์ติดต่อโจทก์ซึ่งเป็นน้องภริยาโจทก์ตกลงให้กู้วันทำสัญญาจำเลยทั้งสองไปที่ร้านของโจทก์ ลงชื่อในสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1 และมอบโฉนดที่ดิน 1 ฉบับ ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแล้วรับเงินไปจากโจทก์จำนวน 150,000 บาท ที่จำเลยที่ 2นำสืบต่อสู้ว่าไม่เคยนำโฉนดที่ดินไปให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันเงินกู้โฉนดที่ดินดังกล่าวหายไป จำเลยที่ 2 ได้แจ้งความที่สถานีตำรวจไว้เป็นหลักฐานแล้ว หากเป็นความจริง นางสาวรัตนาผู้เขียนสัญญากู้ก็ไม่น่าจะระบุเลขที่โฉนดที่ดินลงในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1ได้ถูกต้องตรงกับเลขที่โฉนดที่ดินของจำเลย อีกทั้งจำเลยที่ 2ได้ไปแจ้งความว่า โฉนดที่ดินหายเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2525 หลังจากทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ได้ 5 เดือนเศษ การแจ้งความว่าโฉนดที่ดินหายจึงมีข้อพิรุธ นอกจากนี้หลักประกันเพิ่มเติมที่ระบุในสัญญากู้คือบ้านเลขที่ 8 หมู่ 6 ตำบลทับผึ้ง อำเภอศรีสำโรงจังหวัดสุโขทัย ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดดังกล่าวก็ตรงกับที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ในคำให้การ จึงน่าเชื่อว่าได้มีการนำโฉนดที่ดินและบ้านของจำเลยที่ 2 มาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินโจทก์จริงมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เขียนขึ้นเอง ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ได้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 โดยเปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อและลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในเอกสารต่าง ๆแล้ว มีความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันแสดงว่าจำเลยที่ 2 มิได้ลงชื่อในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 นั้น เห็นว่าตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 ไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยตกลงท้ากันให้ถือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เป็นข้อแพ้ชนะ แม้ความคิดเห็นตามหลักวิชาของพยานผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานที่ศาลรับฟัง แต่ก็มิใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นอย่างไรศาลต้องรับฟังตามนั้นเสมอไป กลับได้ความว่าเมื่อครั้งพนักงานเจ้าหน้าที่นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลย จำเลยที่ 2 ลงชื่อรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ด้วยตนเองซึ่งเป็นการลงชื่อก่อนที่จะคิดทำคำให้การแก้คดี ก็ปรากฏว่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในใบรับหมายนั้นมีลักษณะของการเขียนและขนาดของตัวหนังสือคล้ายคลึงกันกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2ในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 คดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานและพยานเอกสารประกอบด้วยเหตุผล มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปตามฟ้องแล้วไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.