คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3115/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อธนาคารผู้รับจำนองที่ดินดังกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองวันใด จำเลยจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ในวันนั้น ย่อมหมายถึงการที่ธนาคารยอมให้ไถ่ถอนจำนองในจำนวนหนี้ที่ถูกต้องด้วย เมื่อปรากฏว่าจำนวนหนี้ที่ธนาคารยอมให้จำเลยชำระเพื่อไถ่ถอนจำนองยังมีข้อพิพาทโต้เถียงเป็นคดีความกันอยู่ จะถือว่าธนาคารยอมให้ไถ่ถอนจำนองแล้วไม่ได้ การที่จำเลยได้ดำเนินการเพื่อไถ่ถอนที่ดินพิพาทแล้วแต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากมีข้อโต้แย้งกับธนาคารผู้รับจำนองเช่นนี้ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อโจทก์อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินของจำเลยให้แก่โจทก์ในราคา 1,320,000 บาท โจทก์วางเงินมัดจำ 50,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันนั้นและมีข้อสัญญาว่า เมื่อธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาสมุทรสาคร ผู้รับจำนองที่ดินดังกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองวันใดจำเลยจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ในวันนั้นต่อมาธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้รับจำนองได้ตกลงให้จำเลยไถ่ถอนจำนองในวงเงิน 805,000 บาท แต่จำเลยไม่ไปไถ่ถอนจำนอง โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาหลายครั้งแล้ว แต่จำเลยบ่ายเบี่ยง ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองแล้วโอนที่ดินแก่โจทก์และรับชำระราคาส่วนที่เหลือจากโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยจำนองที่พิพาทไว้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาสมุทรสาคร เป็นเงิน 390,000 บาท และได้ฟ้องธนาคารดังกล่าวเพื่อขอไถ่ถอนจำนองที่พิพาทในวงเงิน 390,000 บาท ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยไม่ได้ผิดสัญญากับโจทก์เนื่องจากจำเลยกำลังดำเนินการใช้สิทธิไถ่ถอนจำนองอยู่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรับชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือเป็นเงิน 1,270,000 บาท จากโจทก์ แล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์โดยปลอดจำนอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการที่จำเลยยังไม่ได้ไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ในกรณีดังกล่าวถือว่าจำเลยผิดสัญญาแล้วหรือไม่เห็นว่า จำเลยได้ขอชำระหนี้ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสมุทรสาคร เพื่อไถ่ถอนจำนองที่พิพาทจากธนาคารดังกล่าวแล้ว แม้ว่าจำเลยจะได้ฟ้องธนาคารเพื่อไถ่ถอนจำนองเป็นเงินเพียง 390,000 บาทซึ่งเท่ากับวงเงินจำนองเท่านั้น และการจำนองที่พิพาทนี้เป็นประกันหนี้รวมถึงดอกเบี้ยด้วยก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระแก่ธนาคารมีจำนวนที่ถูกต้องเท่าใด ทั้งจำเลยก็โต้เถียงว่าธนาคารคิดคำนวณจำนวนหนี้ไม่ถูกต้อง และได้ความว่าจำเลยจำนองที่พิพาทเพื่อประกันหนี้ของบุคคลอื่น ไม่แน่ว่าจำเลยทราบรายละเอียดแห่งหนี้ถูกต้องหรือไม่ จะฟังว่าจำเลยฟ้อง ธนาคารขอให้รับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่พิพาทต่ำกว่าหนี้ที่มีอยู่จริงโดยเจตนาไม่ให้ไถ่ถอนจำนองได้สำเร็จเสียทีเดียวหาได้ไม่ ส่วนกรณีที่ต่อมาจำเลยยื่นข้อเสนอต่อธนาคารขอชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเพิ่มเป็นเงินจำนวน 600,000 บาทแต่ธนาคารอนุมัติให้จำเลยชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองได้เป็นเงิน 805,000 บาท นั้นก็มิใช่ข้อเท็จจริงที่จะฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยเป็นหนี้จำนองถึง 600,000 บาท หรือ800,000 บาทเศษ เพราะอาจเป็นการขอประนีประนอมเพื่อให้มีการไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้นไป อันอาจถือได้ว่าจำเลยพยายามไถ่ถอนจำนองที่พิพาทให้สำเร็จเพื่อจะได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ต่อไปตามสัญญาก็ได้ และข้อความตามสัญญาจะซื้อจะขาย ข้อ 2 ว่า เมื่อทางธนาคารกรุงไทยให้ไถ่ถอนวันใด ผู้จะขายจะไปโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้จะซื้อในวันเดียวกัน นั้น ย่อมหมายถึงการที่ธนาคารยอมให้ไถ่ถอนจำนองในจำนวนหนี้ที่ถูกต้องด้วย เมื่อปรากฏว่าจำนวนหนี้ที่ธนาคารยอมให้จำเลยชำระเพื่อไถ่ถอนจำนองยังมีข้อพิพาทโต้เถียงเป็นคดีความกันอยู่ ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นจำนวนหนี้ที่ถูกต้องหรือไม่จะถือว่าธนาคารยอมให้ไถ่ถอนจำนองแล้วหาได้ไม่ การที่จำเลยได้ดำเนินการเพื่อไถ่ถอนจำนองที่พิพาทแล้ว แต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากมีข้อโต้แย้งกับธนาคารผู้รับจำนองอยู่ดังกล่าวเช่นนี้ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อโจทก์อันจะถือเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share