แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักเอาเม็ดพลาสติกที่โม่บดแล้วของผู้เสียหายไป แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ผู้เสียหายกับจำเลยประกอบธุรกิจร่วมกัน โดยจำเลยมีหน้าที่แต่เพียงผู้เดียวที่ไปประมูลเม็ดพลาสติกมือสองนำมาบดแล้วนำไปขายและเก็บเงินจากลูกค้า ส่วนโจทก์มีหน้าที่ออกเงินลงทุน แต่สาเหตุที่ผู้เสียหายดำเนินคดีนี้แก่จำเลย เนื่องจากจำเลยนำเม็ดพลาสติกที่บดแล้วไปขายให้แก่ลูกค้า เมื่อรับเงินมาแล้วไม่ยอมส่งมอบให้แก่ผู้เสียหายหาใช่จำเลยลักเม็ดพลาสติกไม่ ทรัพย์ที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดจึงแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางพิจารณา เพราะเงินที่จำเลยไม่ยอมมอบแก่ผู้เสียหายไม่ใช่สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด จึงเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ และศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่ได้จากทางพิจารณามาวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาฐานใดได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 336 ทวิ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 40,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 3 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 40,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ส่วนที่ไม่มีผู้โต้แย้งฟังได้เป็นยุติว่า ผู้เสียหายและจำเลยร่วมทำธุรกิจซื้อขายเม็ดพลาสติก ในส่วนที่เป็นพลาสติกเก่า (เศษพลาสติก) เมื่อซื้อมาแล้ว ผู้เสียหายและจำเลยจะว่าจ้าง นายวรชิต เป็นผู้โม่บดอัดแล้วบรรจุกระสอบเพื่อส่งให้แก่ลูกค้าต่อไป ตามวันเวลาที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยนำเศษพลาสติกน้ำหนักประมาณ 2 ตัน ไปว่าจ้างนายวรชิตโม่อัด จากนั้นจำเลยนำพลาสติกดังกล่าวไปขายให้แก่ลูกค้า และจำเลยได้รับเงินค่าขายพลาสติกจากลูกค้ามาแล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์ฎีกาว่า ผู้เสียหายเป็นผู้ออกเงินในการลงทุนแต่เพียงผู้เดียว และมีหน้าที่ในการเก็บเงินจากลูกค้า จำเลยไม่มีหน้าที่ดังกล่าวแต่มีหน้าที่เพียงติดต่อลูกค้าในการซื้อเม็ดพลาสติกเท่านั้นการที่จำเลยนำเม็ดพลาสติกไปขาย จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์นั้น เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความว่า การทำธุรกิจร่วมกันระหว่างผู้เสียหายและจำเลยนั้น เป็นการทำกิจการที่บ้านผู้เสียหายไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล สาเหตุที่ให้จำเลยช่วยงานด้านการตลาดเพราะผู้เสียหายไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจเม็ดพลาสติกมาก่อน การแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกันจะแบ่งเป็นคราว ๆ เมื่อขายสินค้าได้ สำหรับเม็ดพลาสติกมือสอง (น่าจะหมายถึงเศษพลาสติกตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง) จำเลยจะเป็นผู้ไปประมูลมาบดแล้วเก็บไว้ที่บ้านนายวรชิต จำเลยสามารถขนเม็ดพลาสติกบรรทุกรถไปขายคนเดียวได้ เนื่องจากทางปฏิบัติจำเลยก็ทำคนเดียวอยู่แล้ว จากคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าว แสดงว่า สาเหตุที่ผู้เสียหายดำเนินดคีแก่จำเลย เป็นเพราะจำเลยนำเม็ดพลาสติกบดอัดไปขายแก่ลูกค้าและรับเงินค่าสินค้ามาแล้วแต่ไม่นำเงินดังกล่าวมามอบให้แก่ผู้เสียหาย หาใช่เป็นเพราะจำเลยลักเศษพลาสติก(เม็ดพลาสติก)ตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องไม่ เพราะการนำเม็ดพลาสติกไปขายแก่ลูกค้า เป็นหน้าที่ตามปกติของจำเลยในการร่วมลงทุนกับผู้เสียหายอยู่แล้ว ดังนั้น ทรัพย์ที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดจึงแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางพิจารณา เพราะไม่ใช่สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด ย่อมถือว่าเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ได้จากทางพิจารณาว่า การที่จำเลยไม่นำเงินที่ได้จากการขายสินค้ามอบแก่ผู้เสียหายตามข้อตกลง มาวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาในฐานใดหรือไม่ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องนั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน