คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3109/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยินยอมให้จำเลยต่ออายุหนังสือสัญญาต่อไปอีก 45วัน นับแต่วันครบกำหนดสัญญาเดิม จำเลยจะต้องส่งของให้โจทก์ภายในวันที่กำหนด แต่ก็ไม่ส่งซึ่งโจทก์ย่อมทราบดีว่าจำเลยไม่สามารถจะส่งสิ่งของตามซื้อให้โจทก์ได้อย่างแน่นอนแล้ว แต่โจทก์กลับละเลยมิได้บอกเลิกสัญญา ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึง 132 วันโดยไม่ปรากฏเหตุผลแห่งการนี้ประกอบกับโจทก์ได้ริบเงินประกันอันเป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยปรับไปแล้ว ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินค่าเสียหายในส่วนที่โจทก์ไปซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นในราคาสูงขึ้นและไม่ครบจำนวนอีกแล้วด้วยแม้ตามสัญญาให้สิทธิโจทก์ปรับจำเลยได้อีกต่างหากก็ตาม เบี้ยปรับนี้ก็คือส่วนหนึ่งของค่าเสียหาย เมื่อค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เหมาะสมแล้วทั้งโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏความเสียหายเป็นพิเศษนอกเหนือจากนี้ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายอีกไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาซื้อขายเครื่องอุปกรณ์และศาสตราภัณฑ์เพราะไม่ส่งมอบสิ่งของตามกำหนด จำเลยจึงถูกริบเงินหลักประกันจำนวน 10,180 บาท ตามสัญญาแล้ว ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้ราคาค่าสิ่งของที่โจทก์ต้องซื้อของจากบุคคลอื่นเพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นเงิน43,400 บาท และค่าปรับรายวันตามสัญญาอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญา จนถึงวันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน 53,750.40 บาทรวมเงินทั้งสิ้น 97,150.40 บาท พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เงินที่จำเลยนำมาวางตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารและเงินเบี้ยปรับร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบเป็นเบี้ยปรับโจทก์ริบเงิน 10,180 บาท ที่จำเลยวางไว้เป็นประกันเป็นจำนวนพอสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ส่วนเงินจำนวน 43,400 บาท ที่โจทก์ต้องซื้อของจากผู้อื่นสูงกว่าราคาที่ตกลงซื้อจากจำเลย ฟังว่า โจทก์เสียหายจากที่จำเลยผิดสัญญาพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 43,400 บาท พร้อมดอกเบี้ย

โจทก์อุทธรณ์ ให้จำเลยใช้เงินค่าปรับตามสัญญา 53,750.40 บาทพร้อมดอกเบี้ยด้วย

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คงได้ความดังโจทก์ฟ้อง คดีมีประเด็นในชั้นฎีกาว่า โจทก์ควรจะได้รับค่าปรับเป็นรายวันร้อยละ 1.2 ของราคาสิ่งของที่โจทก์ซื้อในระหว่างที่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญาจำนวน 53,750.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยนอกเหนือจากเงินตามหลักประกัน 10,180 บาท ที่โจทก์ริบไปแล้วหรือไม่ กรณีนี้จำเลยไม่ได้สิ่งของให้โจทก์ตามสัญญา เมื่อพิจารณาหนังสือสัญญาข้อ 7 มีความว่าเมื่อครบกำหนดการส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้ว ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบไม่ครบจำนวนผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อรับหลักประกันหรือเรียกร้องเอาจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันเป็นจำนวนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะส่วนที่ขาดส่งแล้วกรณีภายใน 90 วันนับแต่วันบอกเลิกสัญญาโดยให้นับวันที่บอกเลิกสัญญาเป็นวันเริ่มต้น ผู้ขายยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิผู้ซื้อจะดำเนินการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญา

สัญญาข้อ 8 มีความว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอเลิกสัญญาดังกล่าวตามสัญญาข้อ 7 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนครบถ้วนถูกต้อง ในระหว่างที่มีการปรับนั้นถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ค้ำประกัน กับเรียกร้องราคาที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้

ส่วนสัญญาข้อ 9 มีความว่า ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อหนึ่งข้อใดด้วยเหตุใด ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ ผู้ขายรับผิดโดยสิ้นเชิง

พิเคราะห์ตามสัญญาทั้งสามข้อนี้แล้ว เห็นว่า ตามสัญญาข้อ 7 เป็นกรณีที่จำเลยไม่ส่งของตามสัญญาให้โจทก์เลย หรือส่งสิ่งของไม่ถูกต้องหรือส่งไม่ครบจำนวนตามสัญญา ให้โจทก์มีสิทธิบอเลิกสัญญา ริบเงินประกันและให้จำเลยรับผิดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นเมื่อโจทก์ต้องไปซื้อจากบุคคลอื่น โดยโจทก์ยังมีสิทธิในการที่จะปรับตามอัตราในสัญญาข้อ 8 จนถึงวันบอกเลิกสัญญาได้ด้วย สำหรับสัญญาข้อ 9 เป็นเรื่องที่ถ้าโจทก์เสียหายเป็นพิเศษอย่างใดนอกจากนี้จำเลยต้องรับผิดด้วย ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยต่ออายุหนังสือสัญญาต่อไปอีก 45 วันนับแต่วันครบกำหนดสัญญาเดิม เมื่อต่ออายุหนังสือสัญญาแล้ว จำเลยจะต้องส่งของให้โจทก์ภายในวันที่ 29 มกราคม 2524แต่ก็ไม่ส่ง ซึ่งโจทก์ย่อมทราบดีว่าจำเลยไม่สามารถจะส่งสิ่งของตามซื้อให้โจทก์ได้อย่างแน่นอนแล้ว แต่โจทก์กลับละเลยมิได้บอกเลิกสัญญา ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึง 132 วัน โดยไม่ปรากฏเหตุผลแห่งการนี้ ประกอบกับโจทก์ได้ริบเงินประกันอันเป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยปรับไปแล้ว ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินค่าเสียหายในส่วนที่โจทก์ไปซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นในราคาสูงขึ้นและไม่ครบจำนวนเป็นเงิน 43,400 บาทอีกแล้วด้วย แม้ตามสัญญาข้อ 7 และ ข้อ 8ให้สิทธิโจทก์ปรับจำเลยได้อีกต่างหากก็ตาม เบี้บปรับนี้ก็คือส่วนหนึ่งของค่าเสียหายศาลฎีกาเห็นว่า ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เหมาะสมแก่ความเสียหายของโจทก์แล้ว ประกอบกับโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏความเสียหายเป็นพิเศษนอกเหนือจากนี้ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายอีกไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share