คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3108-3110/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 กำหนดว่าจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาซื้อขายฝากกันเองจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนได้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันครบกำหนดที่โจทก์แจ้งให้จำเลยนำเงินมาคืนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
สัญญาที่มีข้อความระบุว่าที่ดินที่ซื้อขายกันนี้จำเลยได้จำนองธนาคาร ฯ ไว้และจำเลยจะไถ่ถอนจำนองธนาคารมาโอนให้โจทก์นั้น เป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายเพราะได้กำหนดวันนัดโอนให้ในภายหลัง เมื่อถึงกำหนดนัดจำเลยไม่ยอมโอนให้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยจดทะเบียนโอนตามสัญญาได้ หากจำเลยไม่สามารถโอนให้ได้ ให้จำเลยคืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่จำเลยผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันสำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.๓ โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาขายฝากที่ดินดังกล่าว จำเลยรับเงินไปแล้วในวันทำสัญญา ต่อมาโจทก์ทราบว่าการทำสัญญาขายฝากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือขอเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ จำเลยเพิกเฉย ขอศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาประกันที่โจทก์จ่ายเงินให้นายอุบล ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยกู้เงินจากโจทก์ไปหลายครั้งให้เอาเงินโจทก์ไปซื้อที่นาให้โจทก์แต่ซื้อไม่ได้ และเอาเงินโจทก์ไปเช่าที่นาให้โจทก์แต่หาเช่าให้ไม่ได้ กับจำเลยยอมใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยยักยอกข้าวเปลือกของโจทก์ไป รวมหนี้ทั้งสิ้นเป็นเงิน ๖๐,๐๓๐ บาท จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ให้โจทก์เป็นหลักฐานไว้ ถึงกำหนดโจทก์ทวงถามจำเลยไม่ชำระ ขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๖๐,๐๓๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าสัญญากู้ตามฟ้องจึงเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาประกันการจ่ายเงิน จำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่สาม โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.๓ โจทก์จำเลยตกลงจะซื้อขายเนื้อที่ ๓ งาน ในราคา ๓๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยตกลงว่าจะไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และทำการโอนทะเบียนให้โจทก์ โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลย ๓๐,๐๐๐ บาทเรียบร้อยไปแล้วในวันทำสัญญา ถึงวันนัดโอนจำเลยผิดนัด ขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์หากจำเลยไม่สามารถโอนให้โจทก์ได้ ให้จำเลยคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าสัญญาซื้อขายจึงเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาประกันเงินที่โจทก์จ่ายให้นายอุบล จำเลยไม่ได้ตกลงขายที่ดินให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่าสัญญาทั้งสามฉบับเป็นนิติกรรมอำพราง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสามสำนวน โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีรับรองให้โจทก์สำนวนแรกอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกาทั้งสามสำนวนโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองให้โจทก์สำนวนแรกและสำนวนที่สามฎีกาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำนวนแรกเชื่อว่าโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยทำสัญญาขายฝากกันจริง โดยมิได้มีการแสดงเจตนาลวงหรืออำพรางดังจำเลยอ้าง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ กำหนดว่าจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ การที่โจทก์ที่ ๒ และจำเลยทำสัญญาซื้อขายฝากกันเองมิได้ทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ที่ ๒ มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนได้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๓ ซึ่งเป็นวันครบกำหนดที่โจทก์ที่ ๒ แจ้งให้จำเลยนำเงินมาคืนเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระให้โจทก์ที่ ๒ แล้วเสร็จ
สำนวนที่สามเชื่อว่าจำเลยได้ทำสัญญาให้โจทก์ที่ ๑ ไว้จริง และสัญญาข้อ ๑ ได้ระบุว่าที่ดินที่ซื้อขายกันนี้จำเลยได้จำนองธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไว้ จำเลยได้ตกลงกับโจทก์ที่ ๑ ว่าจะไถ่ถอนจำนองธนาคารมาโอนให้โจทก์ที่ ๑ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๓ สัญญาดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายเพราะได้กำหนดวันนัดโอนให้ในภายหลัง เมื่อถึงกำหนดนัดจำเลยไม่ยอมโอนให้โจทก์ที่ ๑ จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาได้ หากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ที่ ๑ ได้ ให้จำเลยคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๓ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ที่ ๑ แล้วเสร็จ
สำนวนที่สองเชื่อว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ที่ ๑ และทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ที่ ๑ ไว้จริง เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โจทก์ที่ ๑ จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระเงินคืนได้พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันทำสัญญากู้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
พิพากษากลับ ให้จำเลยในสำนวนแรกชำระเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยในสำนวนที่สองชำระเงิน ๖๐,๐๓๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยในสำนวนที่สามไปจดทะเบียนโอนที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๒๑๒ จำนวน ๓ งานให้โจทก์ หากไม่สามารถโอนได้ก็ให้จำเลยคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share