คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3105/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์อุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โจทก์จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และเนื่องจากเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลฎีกาจะส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยตามมาตรา 223 ทวิ วรรคท้าย จึงไม่เป็นประโยชน์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยโดยเปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์และฝากถอนเงินโดยใช้สมุดบัญชีเงินฝากและบัตรถอนเงินอัตโนมัติ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2549 โจทก์มียอดเงินฝากในบัญชีจำนวน 25,807.41 บาท แต่ปรากฏว่าเงินดังกล่าวหายไปจากบัญชีโจทก์ เนื่องจากจำเลยนำไปหักชำระหนี้บัตรเครดิตโดยไม่สุจริตและเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้จำเลยชำระเงิน 26,274.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 25,807.41 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ค้างชำระหนี้บัตรเครดิตจำนวน 31,242.88 บาท จำเลยจึงใช้สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินฝากของโจทก์ซึ่งเป็นการอาศัยสิทธิตามสัญญาที่โจทก์ได้ให้ความยินยอมไว้กับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ระเบียบและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตตามเอกสารหมาย ล.4 และคำขอเปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 ประกอบคำเบิกความของนายรังสรรค์แล้วเชื่อว่าโจทก์ทราบถึงข้อตกลงยินยอมให้นำเงินฝากในบัญชีไปหักชำระหนี้อื่นได้ การหักกลบลบหนี้ของจำเลยจึงเป็นไปตามสิทธิตามสัญญา โจทก์อุทธรณ์ทำนองว่าจำเลยไม่ได้มีหนังสือแสดงเจตนาที่จะหักกลบลบหนี้ก่อนที่จะหักเงินฝาก โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในข้อความตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งพิมพ์ไว้ก่อนแล้ว และมิได้ลงลายมือชื่อรับทราบระเบียบและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตตามเอกสารหมาย ล.4 ที่จำเลยกำหนดขึ้นมาเอง ถือไม่ได้ว่าโจทก์ยินยอมให้นำเงินฝากในบัญชีของโจทก์มาหักกลบลบหนี้กับจำเลย การหักกลบลบหนี้ดังกล่าวจึงเป็นไปโดยมิชอบ เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงโจทก์จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ และเนื่องจากคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลฎีกาจะส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยตามมาตรา 223 ทวิ วรรคท้าย จึงหาเป็นประโยชน์ไม่”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของโจทก์และที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา และให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share