คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3103/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในกรณีมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2)นั้น ขนาดของไม้ต้นหรือท่อนจะต้องมีขนาดใหญ่พอควร พอที่จะถือว่าเป็นไม้ต้นหรือไม้ท่อนได้ เมื่อจำเลยทั้งห้าร่วมกันมีไม้มะพลับหรือไม้พลับจำนวน11ท่อนปริมาตร1.08ลูกบาศก์เมตรไม้โมกมันจำนวน 52 ท่อน ปริมาตร 0.99 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต แม้จำนวนไม้ที่จำเลยทั้งห้ามีไว้ในครอบครองจะมีจำนวนรวมกันถึง 63 ท่อนแต่ไม้ทั้งหมดมีปริมาตรรวมกันเพียง 2.07 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้นแสดงว่าไม้หวงห้ามดังกล่าว เป็นเศษไม้เล็กไม้น้อยอันมีลักษณะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่มีลักษณะเป็นต้นหรือท่อนตามความหมายของมาตรา 69 วรรคสอง (2) จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งห้าตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ จำเลยทั้งห้าคงมีความผิดตามมาตรา 69 วรรคแรก เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 4, 5, 7, 47, 48, 69, 73, 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 19, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 9 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7)พ.ศ. 2525 มาตรา 3, 4 พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505มาตรา 4 ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526มาตรา 4 ริบไม้ของกลาง และจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมายจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 5, 7, 47, 48, 69,73, 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503มาตรา 2503 มาตรา 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518มาตรา 19, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 9พระราชบัญญัติ ป่าไม้ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2525 มาตรา 3, 4พระราชกฤษฎีกา กำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505 มาตรา 4 ประกาศกระทรวงเกษตรเรื่อง กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4เรียงกระทงลงโทษ จำเลยที่ 2 อายุเกิน 14 ปี แต่ไม่เกิน 17 ปีลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75วางโทษฐานมีไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ปรับ5,000 บาท ฐานมีไม้ยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก6 เดือน ปรับ 5,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 1 ปี ปรับ 10,000บาท จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ลงโทษฐานมีไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 10,000 บาท ฐานมีไม้ยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ10,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ไว้คนละ2 ปี ปรับคนละ 20,000 บาท จำเลยทั้งห้าคนให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 6 เดือน ปรับ5,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ไว้คนละ 1 ปีปรับคนละ 10,000 บาท โทษจำคุกสำหรับจำเลยทุกคนให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี ริบไม้ของกลาง และจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมายโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนักและไม่รอการลงโทษให้จำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 อายุเกิน 14 ปีแต่ไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 แล้ว วางโทษฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามไม่ได้รับอนุญาตจำคุก2 ปี 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท ฐานมีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่รับอนุญาตจำคุก 4 เดือน และปรับ 5,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 10 เดือน และปรับ 10,000 บาท จำเลยที่ 1 ที่ 3ที่ 4 และที่ 5 ลงโทษฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 5 ปี ฐานมีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 8 เดือน เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5คนละ 5 ปี 8 เดือน จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 5 เดือน และปรับ5,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 คนละ 2 ปี10 เดือน โทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษภายใน 2 ปี จำเลยนอกนั้นไม่รอการลงโทษจำคุกให้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้งห้าฐานมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครองต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ เพราะไม้หวงห้ามดังกล่าวมีจำนวนถึง 63 ท่อนนั้น พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา69 วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีความผิดตามมาตรานี้ ถ้าไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปที่มีไว้ในครอบครองเป็น (1)…(2) ไม้อื่นเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้น หรือท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตรผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองแสนบาท จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าได้บัญญัติถึงกรณีมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครองเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อนอยู่ในอนุมาตราเดียวกับกรณีมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตรแสดงให้เห็นว่า ในกรณีมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อน ขนาดของไม้ต้นหรือท่อนนั้นจะต้องมีขนาดใหญ่พอควร พอที่จะถือว่าเป็นไม้ต้นหรือไม้ท่อนได้ หากไม้หวงห้ามที่มีไว้ในครอบครองเป็นไม้เล็กไม้น้อยที่อาจจะมีลักษณะเป็นต้นหรือท่อนก็ไม่ถือว่าเป็นไม้ต้นหรือไม้ท่อนตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว เพราะการมีเศษไม้หรือไม้เล็กไม้น้อยมีลักษณะเป็นชิ้นเท่านั้น คดีนี้ได้ความว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันมีไม้มะพลับหรือไม้พลับจำนวน 11 ท่อน ปริมาตร 1.08 ลูกบาศก์เมตร ไม้โมกมันจำนวน52 ท่อน ปริมาตร 0.99 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต แม้จำนวนไม้ที่จำเลยทั้งห้ามีไว้ในครอบครองจะมีจำนวนรวมถึง 63 ท่อน แต่ไม้ทั้งหมดมีปริมาตรรวมกันเพียง 2.07 ลูกบาศก์เมตร เท่านั้น แสดงว่าไม้หวงห้ามดังกล่าวเป็นเศษไม้เล็กไม้น้อย อันมีลักษณะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดังกล่าวแล้วไม่มีลักษณะเป็นต้นหรือท่อนตามความหมายของพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง(2) จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งห้าตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ จำเลยทั้งห้าคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคแรก อันมีบทลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับเท่านั้นคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share