แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ท.ลูกจ้างโจทก์ถึงแก่ความตายในขณะปฏิบัติงานให้โจทก์ โจทก์ได้จ่ายเงินทดแทนและค่าทำศพให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นภริยาของ ท.แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง ข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหาย โจทก์และจำเลยที่ 3 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ยอมให้จำเลยที่ 3 ขอรับเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนได้ โดยโจทก์จะไม่เกี่ยวข้องโต้แย้ง จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทน ดังนี้ ไม่มีบทบัญญัติใดห้ามนายจ้างจ่ายเงินทดแทนหรือห้ามลูกจ้างรับเงินทดแทนเกินกว่าจำเลยที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดไว้ การที่จำเลยที่ 3 ได้รับเงินทดแทนจากโจทก์แล้ว แต่โจทก์ยังทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 3 ยอมให้จำเลยที่ 3 ยื่นขอรับเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนได้อีก สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจึงหาเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ แม้ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบการจ่ายเงินทดแทนฯ ข้อ 15 วรรคสอง กำหนดให้ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิยื่นคำร้องเรียกเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้มีสิทธ์ทราบว่าลูกจ้างถึงแก่ความตายและจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดแล้ว ก็หาเป็นการห้ามสำนักงานกองทุนเงินทดแทนจ่ายเงินแก่จำเลยที่ 3 ไม่ และแม้การจ่ายเงินดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายเพราะต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเพิ่มขึ้น แต่เป็นความเสียหายที่เกิดจากสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ทำลงโดยสมัครใจและบังคับได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องให้ห้ามกรมแรงงานและผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนเงินทดแทนจ่ายเงินทดแทนแก่จำเลยที่ 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ส.ลูกจ้างโจทก์ภายในขณะปฏิบัติหน้าที่ โจทก์ได้จ่ายเงินทดแทนให้แก่จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นภริยาผู้ตายเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๙ วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๓ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่ศาลแพ่ง ตกลงกันได้โดยโจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๓ ไปรับเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๓ ได้ยื่นคำร้องเรียกเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทน จำเลยที่ ๒ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนเงินทดแทน มีหนังสือแจ้งมายังโจทก์ว่า อนุมัติให้จ่ายเงินทดแทนแก่จำเลยที่ ๓ โจทก์เห็นว่าเป็นการจ่ายเงินทดแทนซ้ำซ้อนและเรียกร้องหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วถึง ๓ ปีเศษ เกินกำหนดเวลาสำหรับการขอรับเงินทดแทน จึงมีหนังสือถึงจำเลยที่ ๒ ขอให้พิจารณาและวินิจฉัยใหม่ จำเลยที่ ๒ ได้มีหนังสือตอบยืนยันคำวินิจฉัยเดิม ขอให้ศาลพิพากษาว่าคำวินิจฉัยนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จ่ายเงินทดแทนให้จำเลยที่ ๓ และพิพากษาว่าจำเลยที่ ๓ ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินทดแทนอย่างใดต่อจำเลยที่ ๑ และที่ ๒
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า คำสั่งของจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ได้รับเงินทดแทนละค่าทำศพไปจากโจทก์จริง แต่เงินจำนวนนี้ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนถือว่าเป็นการจ่ายต่อหน้าที่ศีลธรรม เป็นค่าขาดไร้อุปการะที่จำเลยที่ ๓ และบุตรผู้เยาว์พึงได้รับตามกฎหมาย จึงไม่ใช่การจ่ายเงินซ้ำซ้อน จำเลยที่ ๓ ฟ้องโจทก์ที่ศาลแพ่งฐานะละเมิด++ฟ้องเรียกเงินทดแทน คดีนั้นได้ตกลงประนีประนอมยอมความกัน จำเลยที่ ๓ ก็ไปยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนต่อสำนักงานกองทุนเงินทดแทนโดยใช้สิทธิตามสัญญาประนีประนอมความและคำพิพากษาตามยอม หาใช่ขอรับเงินทดแทนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยไม่
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า สำนักงานกองทุนเงินทดแทนมีคำสั่งให้จ่ายเงินทดแทนแก่จำเลยที่ ๓ เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ไม่เป็นการจ่ายเงินทดแทนซ้ำซ้อน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๕๓ และ ๕๔ และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๖ ข้อ ๓ เพียงกำหนดว่า เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าทำศพและค่าทดแทนเป็นรายเดือนตามจำนวนที่กำหนดไว้ หามีบทอันใดห้ามนายจ้างจ่ายเงินทดแทนหรือห้ามลูกจ้างรับเงินทดแทนเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไม่ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๓ ได้รับเงินทดแทนจากโจทก์แล้ว แต่โจทก์ยังทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๓ ยอมให้จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนได้ โดยโจทก์จะไม่เกี่ยวข้องโต้แย้งอีก สัญญาประนีประนอมยอมความ ดังกล่าวจึงหาเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ ส่วนที่มีบทบัญญัติข้อ ๑๕ วรรคสอง แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบการจ่ายเงินทดแทนของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและการอุทธรณ์ ลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๖ กำหนดให้ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิยื่นคำร้องเรียกเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนภายในกำหนด ๙๐ วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย หรือนับแต่วันที่ผู้มีสิทธิทราบว่าลูกจ้างถึงแก่ความตายแล้วแต่กรณี แต่จำเลยที่ ๓ ได้ยื่นคำร้องเรียกเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนเมื่อพ้น ๙๐ วัน นับแต่จำเลยที่ ๓ ทราบว่า ส. ถึงแก่ความตายแล้วนั้น เห็นว่า ข้อความตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวหาเป็นการห้ามสำนักงานกองทุนเงินทดแทนจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิยื่นคำร้องล่วงเลยกำหนดไม่ ทั้งได้ความว่าขณะที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๓ กำหนดเวลา ๙๐ วันนับแต่จำเลยที่ ๓ ทราบว่า ส.ถึงแก่ความตายก็ล่วงพ้นไปแล้ว แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องต่อสำนักงานกองทุนเงินทดแทนเมื่อพ้นกำหนดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวแล้วได้ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงมีอำนาจจ่ายเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนแก่จำเลยที่ ๓ แม้การจ่ายเงินดังกล่าวทำให้โจทก์ต้องเสียหายเพราะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น แต่เป็นความเสียหายที่เกิดจากสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ทำลงโดยสมัครใจและบังคับได้โจทก์จึงหามีสิทธินำคดีมาฟ้องให้ห้ามจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จ่ายเงินทดแทนแก่จำเลยที่ ๓ ไม่
พิพากษายืน