คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 310/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลมีคำสั่งอายัดเงินซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้รับจากบุคคลภายนอกไว้ก่อนพิพากษาก็เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ให้ได้รับผลตามคำพิพากษา ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งถ้าโจทก์ชนะคดีแล้วประสงค์จะให้ได้รับผลตามคำพิพากษา โจทก์ก็จะต้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260 อีกชั้นหนึ่งได้ความว่า เมื่อศาลสั่งอายัดเงินซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้รับจาก อ. ตามที่โจทก์ขอ ได้ออกหมายอายัดชั่วคราวไปยัง อ. และแจ้งให้ส่งเงินตามหมายอายัดมายังศาลแล้วผู้ร้องชนะคดีเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยคนเดียวกันนี้ในคดีอีกเรื่องหนึ่ง และศาลได้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินจำเลยใช้หนี้ผู้ร้องเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินของจำเลยไปยัง อ. ด้วยแต่ อ. ได้ส่งเงินมาไว้ในคดีนี้ ต่อมาศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนี้ และออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ร้องขอและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ขอให้ศาลส่งเงินไปให้ เพื่อทำการยึดไว้ชำระหนี้แก่ผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งได้ร้องขอและศาลได้ออกหมายบังคับคดีให้จัดการยึดอายัดทรัพย์ของจำเลยและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินที่จำเลยมีสิทธิจะได้รับต่อ อ. ตั้งแต่ก่อนที่ศาลจะพิพากษาและออกหมายบังคับคดีในคดีของโจทก์นี้แม้ อ. ได้ส่งเงินดังกล่าวมาไว้ในคดีนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นการอายัดเงินของจำเลยในคดีที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ในภายหลังจึงไม่มีสิทธิจะโต้แย้งผู้ร้องได้และกรณีที่มีการอายัดทรัพย์ชั่วคราวก่อนคำพิพากษานั้น ผู้ร้องก็ไม่ต้องห้ามที่จะขออายัดทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้(อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 672/2514) ผู้ร้องจึงมีสิทธิในเงินของจำเลยในคดีนี้

ย่อยาว

กรณีเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยเป็นเงิน74,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลแพ่งมีคำสั่งอายัดเงินตามที่โจทก์ขอและออกหมายอายัดชั่วคราวลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2515 อายัดเงินประกัน เงินสะสม และเงินบำเหน็จ จำนวน 80,000 บาท ของจำเลยไปยังผู้อำนวยการธนาคารออมสิน วันที่ 4 กันยายน 2515 ผู้อำนวยการธนาคารออมสินส่งเงินที่จำเลยมีสิทธิจะได้รับจำนวน 74,048.99 บาท มาให้ศาลแพ่ง

วันที่ 11 กันยายน 2515 ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน74,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย และได้ออกหมายบังคับคดีเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามที่โจทก์ร้องขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) แล้ว

หัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งมีหนังสือถึงศาลแพ่ง แจ้งว่า ตามที่ศาลแพ่งมีหมายบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3692/2514 ระหว่างนายขจรศักดิ์ จิระสุวรรณพจน์ โจทก์ นายรวี โชติดิลก จำเลย ตั้งให้หัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี จัดการยึดอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ได้จัดการแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่าธนาคารออมสินได้ส่งเงินจำเลยมาไว้ในคดีนี้ จึงขอให้ส่งเงินนั้นไปให้กองบังคับคดีแพ่งเพื่อทำการยึดไว้ชำระหนี้โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3692/2515 ต่อไป ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า คดีนี้ ศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้ว วิธีการชั่วคราวของศาลจึงมีผลต่อไป จนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) จึงไม่อาจส่งเงินมาให้ได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนี้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3692/2515ของศาลแพ่งอุทธรณ์คำสั่ง ศาลแพ่งสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์

ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3692/2515ของศาลแพ่ง ซึ่งจำเลยในคดีนี้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องเป็นเงิน75,000 บาท ผู้ร้องมีสิทธิในวงเงินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดและยึดไว้นั้นแต่ผู้เดียว โจทก์ซึ่งได้ขออายัดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาเงินจำนวนดังกล่าวได้ ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า ให้รอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อน และในระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับโจทก์ได้ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีในคดีนี้ลงวันที่ 9 มีนาคม 2516 ตั้งหัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ตามคำพิพากษา หัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งมีหนังสือถึงศาลแพ่งลงวันที่ 30 มีนาคม 2516 ขอให้ส่งเงินจำนวนดังกล่าวไปให้เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์คดีนี้ แต่ศาลแพ่งให้รอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นเดียวกัน ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง ศาลแพ่งจึงได้ดำเนินการพิจารณาคำร้องของผู้ร้องต่อไป

โจทก์คัดค้านว่าคำร้องของผู้ร้องไม่ใช่ขอเฉลี่ยหนี้ ไม่ใช่ขัดทรัพย์และไม่ใช่ขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิ์

ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า เงินจำนวนนี้ศาลได้ยึดไว้ชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 30 (น่าจะเป็นวันที่ 10) พฤษภาคม 2515 และธนาคารออมสินได้ส่งเงินมาศาลตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2516 (น่าจะเป็น พ.ศ. 2515) ศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและมีหมายบังคับคดีแล้วถือว่าโจทก์ได้ยึดเงินจำนวนนี้โดยถูกต้องแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเหนือเงินจำนวนนี้ดีกว่าผู้ร้อง ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ แม้ศาลจะได้มีคำสั่งอายัดเงินซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิจะได้รับจำนวน 74,048.99 บาท ไว้ก่อนพิพากษา ไปยังผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และธนาคารออมสินได้ส่งเงินจำนวนนี้มาให้ศาลแพ่งตามคำสั่งอายัดดังกล่าวก็ดี แต่การที่ศาลมีคำสั่งเช่นนั้น ก็เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าหนี้ให้ได้รับผลตามคำพิพากษา หาใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ ซึ่งถ้าชนะคดีแล้วประสงค์จะให้ได้รับผลตามคำพิพากษา ก็จะต้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษามานั้นดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 อีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นคำสั่งอายัดเงินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาในคดีนี้ จึงมีผลเพียงเท่าที่กล่าวมา เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3692/2515 ได้ขอหมายบังคับคดีในคดีนั้น ทั้งศาลแพ่งได้ออกหมายบังคับคดีลงวันที่ 2 สิงหาคม 2515 ตั้งหัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี จัดการยึดอายัดทรัพย์ของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษา และกองบังคับคดีแพ่งได้ขออายัดเงินของจำเลยที่มีสิทธิจะได้รับต่อธนาคารออมสินเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2515 ซึ่งเป็นเวลาก่อนศาลแพ่งพิพากษา และออกหมายบังคับคดีในคดีนี้ ดังนั้น ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิจะได้รับจำนวน 74,048.99 บาท จากธนาคารออมสินในคดีนั้นแต่ธนาคารออมสินได้ส่งเงินของจำเลยจำนวนดังกล่าวมาไว้ในคดีนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นการอายัดเงินของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้นแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ภายหลัง จึงไม่มีสิทธิจะโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องได้ และเห็นว่ากรณีอายัดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 ไม่ต้องห้ามมิให้ผู้ร้องอายัดทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 672/2514 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิเหนือเงินจำนวนดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้ผู้ร้องมีสิทธิในเงินของจำเลยจำนวน 74,048.99 บาท

Share