แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ถอนฟ้องคดีแพ่งแล้วกลับมาฟ้องใหม่ได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม. 176 และไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต รับฝากของที่ขะโมยเขามา มารดาและพี่ของผู้รับฝากทำสัญญายอมใช้ราคาของที่ฝากให้แก่เจ้าของและคนขะโมย เจ้าของย่อมฟ้องเรียกเงินตามสัญญานั้นได้และสัญญาชะนิดนี้ไม่ใช่สัญญาประกันการทำยอมใช้ทรัพย์ยักยอกอันเป็นความผิด ส่วนตัวนั้นไม่นับว่าสัญญาเป็นโมฆะคนที่สามทำสัญญายอมรับใช้ทรัพย์แทนผู้รับฝากนั้นไม่ต้องปิดแสตมป์
ย่อยาว
ได้ความว่า เด็กชายช้อยขะโมยทองรูปพรรณของบิดามารดาไปแล้วฝากนายสง่าบุตรและน้องนางนาก นางเสียงไว้ รุ่งขึ้นไปทวงนายสง่าบอกว่า มารดาบอกว่าหีบที่เก็บทองหาย ในวันนั้นกำนันเรียกตัวจำเลยทั้งสองมาสอบสวน แล้วจำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญา จำเลยขอรับรองใช้ทองแทนน้ำหนัก ๓ บาท เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท แล้วลงชื่อจำเลยทั้งสอง ต่อมานายสง่าถูกฟ้องและศาลลงโทษฐานยักยอกและให้ใช้ทรัพย์ แต่ยังไม่ได้ใช้ทรัพย์ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าหนังสือที่กล่าวนั้นเป็นตราสารหมายเลข ๙(๒) ในบัญชีประมวลรัษฎากร แต่มิได้ปิดอากรแสตมป์ จึงรับฟังไม่ได้ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามหนังสือสัญญานั้น
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉันว่า ที่จำเลยว่าโจทก์ฟ้องและถอนฟ้องไปแล้วมาฟ้องใหม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการฟ้องใหม่ได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม.๑๗๖ ไม่ใช่ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตข้อที่ว่าสัญญานั้นมีวัตถุประสงค์เพิกถอนคดีอาญา เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อการกระทำของนายสง่าเป็นผิดฐานยักยอกตาม ม. ๓๑๔ ซึ่งเป็นความผิดส่วนตัวก็ทำสัญญายอมความกันได้โดยชอบด้วยกฎหมายตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๘๑ การที่นายสง่าถูกลงโทษในคดีอาญา ไม่ทำให้หนี้ตามสัญญาระงับไป และการที่ ด.ช.ช้อยเอาทรัพย์ไปฝากนายสง่าโดยไม่สุจริต ไม่มีเหตุอะไรจะทำให้เจ้าของเรียกทรัพย์คืนไม่ได้ และเห็นว่าตราสารนี้ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรตามข้อ ๙(๒) และสัญญานี้ไม่เข้าลักษณะค้ำประกันเพราะไม่ใช่ผูกพันเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.