คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีในคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เวลาเกิดเหตุดังกล่าวแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง ซึ่งกล่าวว่าเหตุเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงเป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดซึ่งมิใช่ข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยนำสืบสู้คดีเพียงว่าวันที่ 2 ธันวาคม 2533ผู้เสียหายไปนอนค้างที่กระท่อมของจำเลย และเห็นจำเลยร่วมเพศกับมารดาผู้เสียหาย เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายจึงกลับไปอยู่บ้านย้าย แล้วไม่มาที่กระท่อมของจำเลยอีกเลยข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบเป็นการกล่าวอ้างถึงเวลาก่อนเกิดเหตุหลายวันไม่เกี่ยวข้องกับเวลาเกิดเหตุตามฟ้องแสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิงกาญจนา ทันประจำสิทธิ์อายุยังไม่เกินสิบสามปี (9 ปี) ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลย โดยเด็กหญิงกาญจนามิได้ยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำผิดจริง และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า สำหรับปัญหาเรื่องวันเวลาเกิดเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า พยานโจทก์แตกต่างกัน โจทก์ไม่สามารถนำสืบถึงวันเวลาเกิดเหตุให้กระจ่างชัด เป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยว่าเหตุเกิดเมื่อใดแน่ และจะมีการกระทำตามฟ้องเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น ในข้อนี้เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความว่าเหตุเกิดคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลา 20 นาฬิกา และปรากฏว่าร้อยตำรวจตรีกตัญญูได้รับแจ้งความวันที่ 15 ธันวาคม 2533วันเดียวกันนั้นก็สามารถจับกุมจำเลยได้ มีการทำบันทึกการจับกุมไว้ตามเอกสารหมาย จ.3 ส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรซึ่งอยู่ด้านหลังเอกสารหมาย จ.1ร้อยตำรวจตรีกตัญญู ไปตรวจที่เกิดเหตุทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.6 จ.7 เอกสารทั้ง4 ฉบับ ดังกล่าวล้วนระบุว่าเหตุเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2533เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ตรงกัน นอกจากนี้จำเลยให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.5 ได้ความว่า คืนวันที่ 11 ธันวาคม 2533ผู้เสียหายนอนที่กระท่อมของจำเลยที่เกิดเหตุ เวลาประมาณ 22 นาฬิกาจำเลยใช้มือล้วงเข้าไปในกางเกงผู้เสียหายและใช้นิ้วดันเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย พยานหลักฐานดังกล่าวแสดงถึงเวลาเกิดเหตุถูกต้องตรงกัน ฯลฯ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องในคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2533 ซึ่งแม้เวลาเกิดเหตุตามที่ปรากฏในการพิจารณาดังกล่าวจะแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้องซึ่งกล่าวว่าเหตุเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงอยู่บ้างก็เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดซึ่งมิใช่ข้อสาระสำคัญแต่อย่างใด ทั้งจำเลยนำสืบสู้คดีเพียงว่า วันที่ 2 ธันวาคม 2533ผู้เสียหายไปนอนค้างที่กระท่อมของจำเลย คืนนั้นผู้เสียหายตื่นขึ้นเห็นจำเลยร่วมเพศกับนางธินารัตน์ เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายจึงกลับไปอยู่บ้านนางสมเพียรแล้วไม่มาที่กระท่อมของจำเลยอีกเลยข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบกล่าวอ้างถึงเวลาก่อนวันเวลาเกิดเหตุหลายวันไม่เกี่ยวข้องกับวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องที่ต่างไปจากวันเวลาเกิดเหตุที่ได้ความในการพิจารณาแต่อย่างใดแสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาดังกล่าวแล้วได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share