คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3098/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกให้ปฏิบัติตามหน้าที่ โดยแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์และทายาทอื่น เมื่อระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถูกศาลพิพากษาให้ถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก คดีถึงที่สุดแล้วจำเลยย่อมไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดการทรัพย์มรดกต่อไปศาลย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำขอบังคับของโจทก์ได้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยและมีคำพิพากษาตามคำขอบังคับของโจทก์ต่อไป ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายหยี่ คงส่านและนางใบ คงส่าน มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือนายเหยอ คงส่าน (ถึงแก่กรรม) โจทก์และนายบานเย็น คงส่านจำเลยเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายหยี่เกิดจากนางแหน คงส่านจำเลยมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือ นายจำนง คงส่าน(ถึงแก่กรรม) จำเลย และนางทวี เพิ่มเติมทรัพย์ นางหยี่ นางใบและนางแหนถึงแก่กรรมไปแล้ว เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2528จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกนายหยี่ผู้ตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1762/2528 ของศาลชั้นต้น ผู้ตายมีทรัพย์สินที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ตั้งอยู่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน6 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 51 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา และวันที่27 มกราคม 2529 จำเลยเปลี่ยนแปลงหลักฐานทางทะเบียนที่ดินทั้งหกแปลงเป็นชื่อจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกผู้ตาย ต่อมาโจทก์จำเลยนายบานเย็นและนางทวี ตกลงขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์สารบบเล่ม 1 ก. หน้า 12 ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ให้แก่บุคคลภายนอก คงเหลือที่ดิน 5 แปลง รวมเนื้อที่ 47 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกแบ่งที่ดินให้แก่ทายาท จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์หนึ่งในสี่ส่วนโดยหักที่ดินที่โจทก์ครอบครอง เนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวาออกก่อน หากการแบ่งปันดังกล่าวไม่อาจกระทำได้ให้ประมูลระหว่างทายาทหรือนำออกขายทอดตลาดเอาเงินที่ได้แบ่งให้โจทก์หนึ่งในสี่ส่วน
จำเลยให้การว่า ก่อนนายหยี่ถึงแก่กรรมได้ยกที่ดินตามน.ส.3 ก. ทั้งหกแปลงตามคำฟ้องของโจทก์ให้แก่โจทก์ จำเลยและทายาทอื่น ๆ พร้อมทั้งส่งมอบการครอบครองที่ดินให้เป็นสัดส่วนเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทผู้ได้รับขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 301/2534 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า กรณีตามฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งศาลชั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่แบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์และทายาทอื่น แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งปันทรัพย์มรดก จึงเป็นการฟ้องบังคับจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่แต่งตั้งขึ้นโดยคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ปฏิบัติตามหน้าที่มิใช่ฟ้องจำเลยเป็นส่วนตัวในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายที่ครอบครองทรัพย์มรดกไว้ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นจำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 301/2534 ของศาลชั้นต้น จำเลยย่อมไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายต่อไป ศาลย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยซึ่งมิได้อยู่ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ปฏิบัติตามคำขอบังคับของโจทก์ได้ กรณีย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยและมีคำพิพากษาตามคำขอบังคับของโจทก์อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์จำหน่ายคดีของโจทก์นั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share