คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3094/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ธ.เป็นบิดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลยธ.ซื้อที่ดินพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง แต่ใส่ชื่อจำเลยผู้เยาว์ไว้ในโฉนดแทน แล้วได้ขายที่ดินและตึกพิพาทให้โจทก์แม้ธ.จะขายให้โจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล ก็ไม่ทำให้สิทธิการได้มาของโจทก์เสียไป เพราะจำเลยเพียงแต่มีชื่อในโฉนดเป็นการถือกรรมสิทธิ์แทน ธ.เท่านั้น หาใช่ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยผู้เยาว์ไม่ หลังจากที่โจทก์ซื้อทรัพย์พิพาทจาก ธ. ธ.ไม่อาจโอนให้ได้เพราะโฉนดมีชื่อจำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ ก็มิได้มีการตกลงกันเรื่องการโอนทางทะเบียนอีกเป็นการแน่นอนว่าจะโอนกันหรือไม่เมื่อใด โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ใช้เป็นสำนักงานสาขาสำเพ็ง ลงบัญชีว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์ เสียค่าภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือนเอง แจ้งให้ผู้ตรวจการธนาคารแห่งประเทศไทยทราบทุกครั้งว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์ ทั้งยังทำหนังสือแจ้งให้กระทรวงการคลังทราบทั้งยังขออนุมัติรื้อถอนตัวอาคารเมื่อย้ายสำนักงานสาขาไปตั้งยังที่แห่งใหม่ ซึ่งกระทรวงการคลังก็อนุมัติแสดงว่าทั้งโจทก์และนายธรรมนูญไม่ได้คำนึงถึงการที่จะทำการจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้ถูกต้องตามกฎหมายกันต่อไป ถือได้ว่านายธรรมนูญสละการครอบครองทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์โดยเด็ดขาด การครอบครองของโจทก์จึงเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ หาใช่ครอบครองตามสัญญาจะซื้อขายไม่ เมื่อเกินสิบปีโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์

ย่อยาว

โจทก์ร้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1336พร้อมตึกแถวสี่ชั้นเลขที่ 412 อ้างว่าซื้อมาจากนายธรรมนูญ นิรันดร แล้วได้ครอบครองโดยความสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยเปิดเป็นสำนักงานของโจทก์สาขาสำเพ็งตลอดมา

จำเลยคัดค้านว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ นายธรรมนูญนิรันดร เป็นเพียงผู้ครอบครองแทนจำเลย โจทก์จะอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันจำเลยไม่ได้ โจทก์เช่าตึกแถวเลขที่ 412 จากนายธรรมนูญ ไม่เคยซื้อที่ดินหรือตึกแถวนั้นจากนายธรรมนูญ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์ตามที่ฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

จำเลยฎีกา

ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายธรรมนูญ นิรันดร บิดาจำเลยซื้อที่ดินโฉนดพิพาทไว้เมื่อ พ.ศ. 2501 ใส่ชื่อจำเลยไว้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ขณะนั้นจำเลยมีอายุประมาณ1 ปี ตึกเลขที่ 412 ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดพิพาท นายธรรมนูญเป็นผู้จัดการทรัพย์สินรายนี้ตลอดมาแต่ผู้เดียวเป็นเวลา 20 ปีเศษแล้ว จำเลยเองไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องด้วยเลยแม้หลังจากบรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อ พ.ศ. 2504 นายธรรมนูญตกลงขายที่ดินและตึกพิพาทให้โจทก์เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานสาขาสำเพ็งในราคา 650,000 บาทแต่ไม่อาจโอนทะเบียนให้โจทก์ได้ เพราะชื่อในโฉนดเป็นของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์นายธรรมนูญได้มอบโฉนดพิพาทให้โจทก์เก็บรักษาไว้

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลย ข้อ 3(2), (3), (7) ที่ว่านายธรรมนูญ นิรันดร ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลเพราะเป็นทรัพย์สินของผู้เยาว์ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายธรรมนูญ กับที่ฎีกาว่าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายยังต้องมีการโอนทางทะเบียนกัน แม้โจทก์จะครอบครองนานสักเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทนั้นเห็นว่า จำเลยเพียงแต่มีชื่อในโฉนดเป็นการถือกรรมสิทธิ์แทนนายธรรมนูญ นิรันดรเท่านั้น หาใช่ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ไม่ ดังนั้นแม้นายธรรมนูญจะขายให้แก่โจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล ก็ไม่ทำให้สิทธิการได้มาของโจทก์ในกรณีนี้เสียไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากโจกท์ซื้อทรัพย์พิพาทจากนายธรรมนูญนายธรรมนูญไม่อาจโอนให้ได้เพราะโฉนดมีชื่อจำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ ก็มิได้มีการตกลงกันเรื่องการโอนทางทะเบียนอีกเป็นการแน่นอนว่าจะโอนกันหรือไม่เมื่อใดโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ใช้เป็นสำนักงานสาขาสำเพ็ง ลงบัญชีว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์เสียค่าภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือนเอง แจ้งให้ผู้ตรวจการธนาคารแห่งประเทศไทยทราบทุกครั้งว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์ ทั้งยังทำหนังสือแจ้งให้กระทรวงการคลังทราบ ทั้งยังขออนุมัติรื้อถอนตัวอาคารเมื่อย้ายสำนักงานสาขาไปตั้งยังที่แห่งใหม่ กระทรวงการคลังก็อนุมัติ ทั้งโจทก์ไม่เคยชำระค่าเช่าให้แก่นายธรรมนูญและจำเลยอีกเลย นับตั้งแต่ตกลงซื้อเมื่อ พ.ศ. 2504 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลาร่วม 20 ปี แสดงว่าทั้งโจทก์และนายธรรมนูญไม่ได้คำนึงถึงการที่จะทำการจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้ถูกต้องตามกฎหมายกันต่อไป ถือได้ว่านายธรรมนูญสละการครอบครองทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์โดยเด็ดขาด การครอบครองของโจทก์จึงเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของหาใช่ครอบครองตามสัญญาจะซื้อขายไม่ โจทก์ได้ครอบครองที่ดินและตึกพิพาทนี้ไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ พ.ศ. 2504ติดต่อกันจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ทั้งคดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์กับนายธรรมนูญคบคิดกันทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์เสียหาย คำพิพากษาฎีกาต่าง ๆที่จำเลยอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ รูปคดีเป็นเรื่องที่นายธรรมนูญบิดาจำเลยไม่สุจริต ซื้อที่ดินมาเองเพื่อขายต่อเอากำไรแต่โอนโส่ชื่อบัตรอายุเพียง 1 ขวบไว้ให้ถือกรรมสิทธิ์แทน แล้วเพทุบายว่าไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000 บาท แทนโจทก์

Share