คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3092/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะทำบันทึกการสละมรดกนั้นมรดกมีแต่ที่ดินกับบ้านพิพาทซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินเท่านั้น ฉะนั้นแม้บันทึกการสละมรดกจะไม่มีข้อความระบุถึงบ้านพิพาทก็ต้องถือว่าบรรดาทายาทผู้ให้ถ้อยคำทุกคนมีเจตนาสละบ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินด้วย การสละมรดกจึงมีผลใช้บังคับได้มิใช่เป็นการสละมรดกเพียงบางส่วน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 462/154 ตำบลกองทูล อำเภอหนองไผ่จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมบ้าน 1 หลัง ได้มาโดยบิดามารดายกให้และใช้สิทธิครอบครองมาเกินกว่า 10 ปี ปลายปี 2525 จำเลยซึ่งเป็นพี่โจทก์ได้แจ้งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินและบ้านดังกล่าวโดยอ้างว่าที่ดินและบ้านเป็นของตนได้รับโอนมรดกและจดทะเบียนต่ออำเภอหนองไผ่แล้ว โจทก์ไปตรวจหลักฐานที่อำเภอจึงทราบว่า หลังจากนายบี้ช่างทำร่อง บิดาถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2521 แล้วจำเลยได้ใช้อุบายให้โจทก์กับนางนกแก้ว ช่างทำร่อง มารดา ลงชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือในกระดาษไม่ได้กรอกข้อความ อ้างว่าจะนำไปแสดงต่อธนาคารออมสินเพื่อรับเงินฝากของนายบี้มาใช้ทำบุญ แล้วนำไปกรอกข้อความเท็จเพื่อใช้รับมรดกของนายบี้ว่าโจทก์กับนางนกแก้วและพี่น้องคนอื่น ๆ ไม่ขอเกี่ยวข้อง เป็นการโต้แย้งสิทธิการครอบครองของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องให้เพิกถอนนิติกรรมรับโอนมรดกที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาจนถึงแก่กรรม โจทก์ซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กก็อาศัยอยู่กับจำเลยโดยอยู่ในบ้านหลังที่จำเลยปลูกขึ้นใหม่ติดกับบ้านหลังเดิมของบิดามารดาตลอดมา หลังจากนายบี้บิดาถึงแก่กรรม โจทก์ไม่ขอรับมรดกและยอมให้จำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้รับ เช่นเดียวกับนางนกแก้วมารดาและพี่ ๆ อีก 5 คน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลย และโจทก์มิได้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่ที่อ้างว่าถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิ จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังยุติได้ว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรนายบี้ นางนกแก้ว ช่างทำร่องมีพี่ร่วมบิดามารดา 5 คน คือ นายชื่น ช่างทำร่อง นางทองอยู่ทองสุก นางทองดี ครุฑนาก นายเฉลิม ช่างทำร่องและนางทับทิมชัยพันธ์ นายบี้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2521 ส่วนนางนกแก้วถึงแก่กรรมในปีถัดมา ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.1 เดิมเป็นของนายบี้ มีบ้านไม้ชั้นเดียวปลูกอยู่ 1 หลัง เป็นบ้านสองตอนมีห้องโถงคั่น ตอนหน้าปลูกติดถนนสายสระบุรี-หล่มสัก จำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของตนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2521 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยหรือไม่… โจทก์คงมีแต่ตัวโจทก์กับนายผู่ วิวัฒนศักดิ์ สามีเป็นพยานเบิกความว่า นายบี้ได้ยกที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์แล้วตั้งแต่ปี 2514 และโจทก์ไม่ได้ยินยอมให้จำเลยรับโอนมรดกนายบี้เท่านั้น ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยรบเร้าหรือออกปากขอให้นายบี้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้กับตน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทโจทก์ก็มิได้เป็นผู้เก็บรักษาและไม่เคยขอจากนายบี้ ที่อ้างว่าบันทึกการสละมรดกหรือบันทึกยินยอมให้จำเลยเป็นผู้รับมรดกนายบี้ตามเอกสารหมาย จ.4 เป็นเอกสารปลอม โจทก์กับนางนกแก้วลงชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือในเอกสารดังกล่าว ตั้งแต่ยังไม่มีข้อความโดยถูกจำเลยหลอกลวงว่าจะนำไปใช้รับเงินฝากของนายบี้จากธนาคารออมสินก็ไม่น่าเชื่อ เพราะเอกสารดังกล่าวมีนางนกแก้วพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นคนแรก โจทก์ลงชื่อเป็นคนสุดท้ายต่อจากนางทับทิมพี่สาวซึ่งลงชื่อเป็นคนที่หก หากเป็นกรณีที่จำเลยนำเอกสารไปหลอกลวงให้โจทก์กับนางนกแก้วลงชื่อนอกที่ว่าการอำเภอดังที่โจทก์อ้างโจทก์ก็คงจะต้องลงชื่อติดกับลายพิมพ์นิ้วมือของนางนกแก้ว เกี่ยวกับการปลูกบ้านพิพาทตอนในโจทก์กับนายผู่ก็เบิกความขัดแย้งกัน โดยโจทก์เบิกความว่าโจทก์เป็นผู้ปลูกสร้างส่วนนายผู่เบิกความว่า นายบี้เป็นผู้ปลูกสร้าง ในเรื่องการให้เช่าบ้านพิพาทโจทก์ก็เพิ่งจะเริ่มแบ่งให้ผู้อื่นเช่าในปีเดียวกับที่มีข้อพิพาทกับจำเลย จำเลยมีตัวจำเลยนายชื่น นางทองดี นายเฉลิมและนางทับทิมเป็นพยานเบิกความสอดคล้องกันว่า จำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูนายบี้และนางนกแก้ว ก่อนตายนายบี้จึงพูดว่าจะยกที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลย หลังนายบี้ถึงแก่กรรมโจทก์ได้ไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่ายินยอมให้จำเลยเป็นผู้รับมรดกนายบี้ที่อำเภอเช่นเดียวกับนางนกแก้วและทายาทอื่น ๆ โดยจำเลยเป็นผู้รับและพานางนกแก้วซึ่งเป็นอัมพาตไปยังที่ว่าการอำเภอนายสมพร ไม้สูง พยานจำเลยซึ่งเป็นกำนันตำบลกองทูลมาตั้งแต่ปี 2522 ก็เบิกความว่า การรับมรดกของจำเลยมีการประกาศตามระเบียบพยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์เชื่อได้ว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยเป็นผู้รับมรดกที่ดินและบ้านพิพาทที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลย ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าบันทึกเอกสารหมาย จ.4 กล่าวเฉพาะที่ดินมิได้ระบุถึงบ้านเป็นการสละมรดกบางส่วนต้องห้ามตามกฎหมายใช้บังคับไม่ได้นั้น เห็นว่าขณะทำบันทึกเอกสารหมาย จ.4 มรดกของนายบี้ มีแต่ที่ดินกับบ้านพิพาทเท่านั้น ทั้งบ้านพิพาทก็เป็นส่วนควบของที่ดินพิพาทเช่นนี้แม้เอกสารหมาย จ.4 จะไม่มีข้อความระบุถึงบ้านก็ต้องถือว่าบรรดาทายาทผู้ให้ถ้อยคำทุกคนมีเจตนาสละมรดกบ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินด้วย บันทึกการสละมรดกที่โจทก์กับทายาทอื่น ๆ ทำไว้ตามเอกสารหมาย จ.4 จึงมีผลใช้บังคับได้ มิใช่เป็นการสละมรดกเพียงบางส่วนดังที่โจทก์ฎีกา โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการรับมรดกของจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share