แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองเบิกความเท็จหาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่ เพราะความผิดเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลในคดีนั้นแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยานบุคคล และขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาท โจทก์แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีความจำเป็น แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงให้ทนายของคู่ความถ่ายภาพบ้านพิพาททั้งสองหลังส่งศาล แสดงว่าจำเลยทั้งสองพอใจคำสั่ง ศาลชั้นต้น และไม่ติดใจขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาท การที่ศาลจะไปเดินเผชิญสืบหรือไม่เป็นดุลพินิจ ของศาล การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2แสดงว่า บ้านพิพาทไม่ได้เป็นส่วนควบกับบ้านเลขที่ 75 อยู่ในตัวถือได้ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นเรื่องส่วนควบแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด1 ปี ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 1มีอายยุถึง 82 ปี ศาลเห็นว่าชราภาพมากแล้ว เห็นควรให้โอกาสจำเลยที่ 1 จึงให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 273/2529 ของศาลชั้นต้นยังไม่ถึงที่สุดโจทก์และจำเลยที่ 1ยังโต้เถียงกันเกี่ยวกับบ้านพิพาทอยู่ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดนั้น เห็นว่า การฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จหาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่ เพราะความผิดเกิดตั้งแต่จำเลลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลในคดีนั้นแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิจารณาและพิพากษาคดีนี้มาถูกต้องแล้วฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาทแต่ศาลชั้นต้นให้โจทก์และจำเลยทั้งสองถ่ายภาพมาแสดงแล้วศาลชั้นต้นนำเอาชื่อป้ายซึ่งมีชื่อนายไพโรจน์ กัลณา มาเป็นข้อวินิจฉัย โดยมิได้นำเอาภาพถ่ายบ้านพิพาทมาเป็นข้อวินิจฉัยเป็นการไม่ถูกต้องตามประเด็นเพราะจำเลยทั้งสองต้องการให้ศาลไปเดินเผชิญสืบจริง ๆ เพื่อให้ศาลได้เห็นว่า บ้านพิพาทมีสภาพเป็นส่วนควบกันจริงหรือไม่ศาลไม่ไปทำการเดินเผชิญสืบจึงถือว่าการนำสืบของจำเลยยังไม่หมดพยาน ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นั้น ได้ความว่า เมื่อจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยานบุคคล และขอให้ศาลอุทธรณ์เดินเผชิญสืบบ้านพิพาท โจทก์แถลงคัดค้านศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องไปเดินเผชิญสืบแต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงมีคำสั่งให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสองถ่ายภาพพื้นบ้านพิพาท 2 หลังส่งศาล ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 มิถุนายน 2531 เอกสารในสำนวนอันดับที่112 ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้คัดค้าน จำเลยทั้งสองได้ถ่ายภาพบ้านพิพาทส่งศาลปรากฏตามคำแถลงลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2531 และภาพถ่ายบ้านพิพาทเอกสารอันดับที่ 114 และ 115 แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองพอใจตามคำสั่งของศาลชั้นต้น และไม่ติดใจขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาทแล้ว การที่ศาลจะไปเดินเผชิญสืบหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองหมดพยานที่จะนำเข้าสืบต่อศาลแล้ว
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนควบกับบ้านเลขที่ 75 หรือไม่เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 แสดงว่าบ้านพิพาทไม่ได้เป็นส่วนควบกับบ้านเลขที่ 75 อยู่ในตัว กรณีถือได้ว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วฎีกาจำเลยทั้งสองข้อฟังไม่ขึ้น แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ก็ย่อมจะเบิกความช่วยเหลือจำเลยที่ 1 เป็นธรรมดาประกอบกับจำเลยที่ 2 เป็นหญิงและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 4,000 บาท อีกโสดหนึ่งและให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.