แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลพิพากษาว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นของโจทก์โดยครอบครองนาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382ให้ยกฟ้องที่จำเลยขอให้ขับไล่โจทก์ให้จำเลยแยกโฉนดโอนที่พิพาทให้โจทก์ ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่แล้ว โจทก์ไม่ต้องบังคับคดีจำเลยซื้อขายที่พิพาทโดยรู้ว่าเป็นของโจทก์โจทก์ให้เพิกถอนทะเบียนได้ไม่มีอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จำเลยเป็นเจ้าของโฉนด ศาลพิพากษายกฟ้องที่จำเลยขับไล่โจทก์ และให้จำเลยแยกโฉนดโอนที่พิพาทแก่โจทก์ จำเลยโอนซื้อขายที่ดินตามโฉนดแก่กันล่วงเลยมากกว่า 10 ปี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนโฉนดเฉพาะที่พิพาทยกฟ้องคดีที่จำเลยกลับฟ้องขับไล่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อศาลพิพากษาให้นางนีโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในโฉนดและนอกโฉนดที่ 961 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2497 ของศาลจังหวัดลพบุรี และให้นางพั้ว แบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 961 ให้นางนีโจทก์แล้ว นางนีโจทก์ไม่ทำการบังคับคดีนับแต่คดีถึงที่สุดเมื่อ พ.ศ. 2500 จนบัดนี้เกิน 10 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ทำให้คำพิพากษาคดีนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่การครอบครองที่พิพาทของโจทก์ได้นั้นศาลฎีกาเห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2497 ของศาลจังหวัดลพบุรี ศาลพิพากษาชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางนี และให้นางพั้วแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 961 ซึ่งอยู่ในที่พิพาทให้นางนี แม้จะล่วงเลยกำหนดเวลาการบังคับคดีมาแล้ว แต่นางนีได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา นางนีจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามคำพิพากษาดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาอีกต่อไป ผลของคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2497นั้นย่อมผูกพันนางพั้วว่านางนีมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่า นางพั้วไม่มีสิทธิจะนำที่พิพาทไปโอนให้แก่ผู้ใด
ที่จำเลยฎีกาว่า นางพั้วจำเลยยังเชื่อโดยสุจริตใจว่าที่พิพาทเป็นของตนเพราะไม่ทราบผลแห่งคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2497 ของศาลจังหวัดลพบุรี นางหริ่มเป็นคนนอกคดีจึงไม่มีทางทราบผลประการใดฉะนั้นการซื้อขายที่ดินในและนอกโฉนดที่ 961 ระหว่างจำเลยทั้งสองจึงเป็นการซื้อขายกันโดยสุจริต และเมื่อมีการซื้อ มีค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายนั้นข้อเท็จจริงปรากฏว่าทนายของนางพั้วลงชื่อรับทราบการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2497 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2500 แล้ว ต้องถือว่านางพั้วในฐานะโจทก์ได้ทราบคำพิพากษาศาลฎีกานั้นแล้ว คดีได้ความว่านางหริ่มเป็นบุตรนางพั้วจำเลยและนางหริ่มจำเลยเบิกความรับว่า เมื่อ พ.ศ. 2497รู้ว่านางพั้วจำเลยเป็นความกับนางนีโจทก์เรื่องที่ดินพิพาทนี้ และนางนีทำนาในที่พิพาทตลอดมาจนบัดนี้ จึงเชื่อว่านางหริ่มจำเลยรู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของนางนีโจทก์ ฉะนั้นการที่นางหริ่มรับโอนโฉนดที่ 961 และที่ดินนอกโฉนด จึงเป็นการรับโอนจากผู้ที่ไม่มีอำนาจโอนให้ได้ และเป็นการไม่สุจริต แม้นางหริ่มจะจดทะเบียนสิทธิการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ได้ทราบการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทรายนี้ก่อนที่จะได้ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์มีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งเกี่ยวข้องกับที่พิพาทของโจทก์ได้โดยไม่มีอายุความฟ้องร้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ