คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3080/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยักยอกและฉ้อโกงเงินไปจากโจทก์ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย แต่ปรากฏว่าพนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญารวม 3 คดีในข้อหายักยอกและฉ้อโกงโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้แก่โจทก์เป็นเงินรวม 1,226,172.15 บาท ซึ่งเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องคดีแทนโจทก์ โจทก์จึงมีฐานะเป็นคู่ความในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้นด้วย เมื่อศาลในส่วนคดีอาญารับคำขอส่วนแพ่งดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วย่อมมีผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 รับผิดในเงินจำนวน 1,226,172.15 บาท ต่อศาลอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ตำแหน่งผู้แทนขายต่างจังหวัดตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2537 มีหน้าที่ขายสินค้าและเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าส่งมอบแก่โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานภายในวงเงิน 500,000บาท ระหว่างทำงานเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2540 ถึงเดือนเมษายน 2541 จำเลยที่ 1 ทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกและฉ้อโกงสินค้าของโจทก์เป็นเงิน 1,768,620.27 บาท จำเลยที่ 1 ได้ยอมรับและทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2541รับว่าเป็นหนี้ค่าสินค้าที่นำไปจากโจทก์เป็นเงิน 1,768,620.27 บาทวันเดียวกันโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ออกจากงาน โจทก์ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ข้อหายักยอกและฉ้อโกง พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 1เป็นคดีอาญารวม 3 คดี โดยมีคำขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกและฉ้อโกงแก่โจทก์รวม 1,226,172.10 บาท คดีทั้งสามอยู่ในระหว่างการพิจารณาหลังจากทำหนังสือรับสภาพหนี้โจทก์ได้รับชำระเงินและสินค้าคืนจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 208,244.82 บาท คงเหลือหนี้ค่าสินค้าเป็นเงิน 1,560,375.45 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 เมษายน 2541 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 118,310.65 บาท จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดตามวงเงินที่ทำสัญญาไว้ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ใช้เงิน 1,678,686.10 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,560,375.45 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดเป็นเงิน500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ยักยอกหรือฉ้อโกงเงินหรือสินค้าของโจทก์และไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน1,560,375.55 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 เมษายน 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “อนึ่ง ปรากฏจากคำฟ้องเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ถึง 7 และเอกสารหมาย จ.8 ว่าจำนวนเงิน1,560,375.45 บาท ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกและฉ้อโกงไปจากโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ใช้คืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนั้นพนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญารวม 3 คดีในข้อหายักยอกและฉ้อโกงโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยมีคำขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้แก่โจทก์เป็นเงินรวม 1,226,172.15บาท ซึ่งเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องคดีแทนโจทก์ โจทก์จึงมีฐานะเป็นคู่ความในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้นด้วย เมื่อศาลในส่วนคดีอาญารับคำขอส่วนแพ่งดังกล่าวได้พิจารณาแล้วย่อมมีผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 รับผิดในเงินจำนวน1,226,172.15 บาท ต่อศาลอีก ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในจำนวนเงินส่วนที่เกินจากคำฟ้องในคดีอาญาเป็นเงิน 334,203.30 บาท เท่านั้นอีกทั้งสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 ไม่มีข้อความให้จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 2ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง และเนื่องจากจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1ต้องรับผิดไม่เกินวงเงินที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดเต็มตามจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระแก่โจทก์”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน334,203.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2ชำระแทน

Share