แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ห้ามเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบน้ำเค็มในพื้นที่น้ำจืดในเขตจังหวัดเท่านั้น ความผิดดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น การที่จำเลยใช้เครื่องตีน้ำในบ่อกุ้งหาทำให้เครื่องตีน้ำดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดอันจะพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีจำนวน 5 บ่อ บนเนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีที่มีคำสั่งให้ระงับการเลี้ยงกุ้งกุลาดำในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีโดยเด็ดขาดและยังเป็นผู้ก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายจากภาวะมลพิษ เจ้าพนักงานได้สำรวจบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำดังกล่าวพบเครื่องตีน้ำในบ่อเลี้ยงกุ้งตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง ซึ่งจำเลยได้ใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่เจ้าพนักงานไม่อาจยึดมาเก็บรักษาได้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 4, 9, 98 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 37 กับริบทรัพย์ดังกล่าว และสั่งให้จำเลยส่งทรัพย์สินที่ริบให้แก่พนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 4, 9, 98 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 37 จำคุก 8 เดือน และปรับ 60,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน และปรับ 30,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 ริบของกลางและให้จำเลยส่งทรัพย์สินที่ริบให้แก่พนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้ริบของกลางนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่าควรริบเครื่องตีน้ำในบ่อกุ้งของจำเลยหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าเครื่องตีน้ำดังกล่าวเป็นทรัพย์ของผู้อื่นที่ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดอันจะเข้าข้อยกเว้นในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 นอกจากนี้การเลี้ยงกุ้งกุลาดำถึง 5 บ่อ จำนวนพื้นที่ถึง 14 ไร่ น้ำเค็มที่ถูกปล่อยออกจากพื้นที่เลี้ยงกุ้งกุลาดำจึงมากมายมหาศาลสร้างความเดือดร้อนแก่พื้นที่ทำนาใกล้เคียงอย่างมาก ศาลควรริบเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำเสียด้วย เพื่อจะมิได้กระทำผิดอีกต่อไป เห็นว่า การริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด แต่ปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้เนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ห้ามเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบน้ำเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีเท่านั้น ความผิดดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น การที่จำเลยใช้เครื่องตีน้ำในบ่อกุ้งหาทำให้เครื่องตีน้ำดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดอันจะพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)แต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ริบของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน