คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3293/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เงินฝากของลูกหนี้ที่ฝากไว้กับธนาคารผู้ร้องย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตั้งแต่ที่มีการฝากเงิน ลูกหนี้มีสิทธิที่จะถอนเงินที่ฝากไปได้ ผู้ร้องคงมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 การส่งมอบสมุดเงินฝากจึงมิใช่เป็นการส่งมอบเงินฝากซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ สมุดเงินฝากเป็นเพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงินที่ผู้รับฝากออกให้แก่ผู้ฝากยึดถือไว้เพื่อสะดวกในการฝากและถอนเงินในบัญชีของผู้ฝาก สมุดเงินฝากจึงไม่อยู่ในลักษณะของสิทธิซึ่งมีตราสารข้อตกลงที่ลูกหนี้มอบสมุดเงินฝากให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ต่อผู้ร้องจึงไม่ใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 750 ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ผู้ร้องได้ยื่นคำขอชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านในมูลหนี้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 20,019,686.29 บาท หนี้สัญญาค้ำประกันจำนวน5,099,625.90 บาท และหนี้ภาระค้ำประกันจำนวน 353,110,868.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 378,230,180.51 บาท นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จในฐานะเจ้าหนี้มีประกันโดยมีหลักทรัพย์ประกันคือ สิทธิการรับเงินฝากออมทรัพย์และสิทธิรับเงินฝากประจำ

ผู้คัดค้านพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันในมูลหนี้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 20,019,686.29 บาท หนี้สัญญาค้ำประกันจำนวน 5,000,000 บาท และหนี้ภาระค้ำประกันจำนวน 353,110,868.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 20,190,686.29 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจากลูกหนี้โดยมีเงื่อนไขว่า ในมูลหนี้สัญญาค้ำประกันหากผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากบริษัทซิโน-ไทยคอนสตรัคชั่นเซอร์วิส จำกัด แล้วเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ลดลงเพียงนั้น ต้องไม่เกินวงเงินค้ำประกันจำนวน 5,000,000 บาท และในมูลหนี้ภาระค้ำประกันผู้ร้องจะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ต่อเมื่อนับแต่วันที่ผู้ร้องได้ชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกแทนลูกหนี้แล้วตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับเป็นต้นไป

ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านและมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันกับมีคำสั่งเพิ่มเติมคำสั่งของผู้คัดค้านในส่วนของมูลหนี้สัญญาค้ำประกันและหนี้ภาระค้ำประกันว่า พร้อมทั้งหนี้อุปกรณ์ต่าง ๆ คือ ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ต่อจากคำว่า “และในมูลหนี้สัญญาค้ำประกันเป็นเงินจำนวน 5,000,000 บาท” ในหน้าที่ 2 บรรทัดที่ 3 และเพิ่มเติมคำว่า “พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่ธนาคารเจ้าหนี้ประกาศกำหนด ภายใต้ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด นับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกแทนลูกหนี้แล้วตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับเป็นต้นไปต่อจากคำว่า”ในมูลหนี้ภาระค้ำประกันเป็นเงินจำนวน 353,110,868.32 บาท” ในหน้าที่ 2 บรรทัดที่ 3 ของคำสั่งผู้คัดค้าน

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันและได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ภาระค้ำประกันจากลูกหนี้ต่อเมื่อนับแต่วันที่ผู้ร้องได้ชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกแทนลูกหนี้แล้วตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับเป็นต้นไปนั้น ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดไม่เฉพาะแต่เพียงจำนวนเงินที่ค้ำประกันเท่านั้นยังต้องรับผิดในหนี้อุปกรณ์อย่างอื่นเช่น ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งลูกหนี้ค้างชำระรวมทั้งค่าเสียหายทั้งปวงที่ผู้ค้ำประกันต้องเสียไปในการเรียกร้องหรือฟ้องร้องลูกหนี้เพื่อบังคับชำระหนี้อีกส่วนหนึ่งด้วย ผู้คัดค้านจึงขอแก้ไขคำสั่งในส่วนนี้โดยให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้สัญญาค้ำประกันจำนวน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย รวมถึงหนี้อุปกรณ์อย่างอื่นตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว

ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งแก้คำสั่งของผู้คัดค้านเป็นว่าให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้สัญญาค้ำประกันในวงเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งหนี้อุปกรณ์อย่างอื่นตามสัญญาค้ำประกัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของผู้คัดค้าน

ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ข้อตกลงที่ลูกหนี้มอบสมุดเงินฝากประเภทออมทรัพย์และสมุดเงินฝากประเภทประจำที่ฝากเงินกับผู้ร้องให้แก่ผู้ร้องเพื่อประกันหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีของลูกหนี้จำนวน20,019,686.29 บาท นั้น ข้อตกลงดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการจำนำซึ่งทำให้ผู้ร้องมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 6 หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 บัญญัติว่า”อันว่าจำนำนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนำ ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจำนำ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้” และมาตรา 672บัญญัติว่า “ถ้าฝากเงิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝากแต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน อนึ่งผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แต่หากจำต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น…” ดังนี้ เงินฝากของลูกหนี้ทั้งสองบัญชีที่ฝากไว้กับผู้ร้องย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตั้งแต่ที่มีการฝากเงินลูกหนี้มีสิทธิที่จะถอนเงินที่ฝากไปได้ ผู้ร้องคงมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้นการส่งมอบสมุดเงินฝากจึงมิใช่เป็นการส่งมอบเงินฝากซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ สมุดเงินฝากเป็นเพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงินที่ผู้รับฝากออกให้แก่ผู้ฝากยึดถือไว้เพื่อสะดวกในการฝากและถอนเงินในบัญชีของผู้ฝาก สมุดเงินฝากจึงไม่อยู่ในลักษณะของสิทธิซึ่งมีตราสารข้อตกลงที่ลูกหนี้มอบสมุดเงินฝากให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ต่อผู้ร้องจึงไม่ใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 750 ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share