แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าสามีโจทก์นำสินสมรสไปยกให้จำเลยโดยเสน่หาโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือขอให้เพิกถอนเฉพาะส่วนของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นสินสมรสระหว่างสามีโจทก์และมารดาจำเลย จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการยกให้นี้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางสมาคมนิยมเป็นข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 ดังนี้ถือว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการยกให้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมหรือไม่นี้ได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อนี้ได้
การยกที่ดิน 3 แปลงราคา 100,000 บาท อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ให้บุตรของสามีโจทก์อันเกิดแต่ภริยาอีกคนหนึ่ง โดยในขณะยกให้ไม่ปรากฏว่าผู้ยกให้มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ย่อมไม่ใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหะยีสะและซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ก่อนถึงแก่กรรมนายหะยีสะและได้ยกที่ดินสินสมรส 3 แปลงให้จำเลยโดยเสน่หา โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือ จำเลยได้นำที่ดินบางแปลงไปจำนองผู้มีชื่อ จึงขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกให้ที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นโมฆะเฉพาะ 1 ใน 3 ส่วน อันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ขอให้จำเลยแบ่งที่ดิน 3 แปลงให้โจทก์ 1 ใน 3 ถ้าไม่สามารถแบ่งกันได้ ให้ขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ 1 ใน 3
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์แยกทางกับนายหะยีสะและแล้ว ทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายหะยีสะและกับนางเพียรมารดาจำเลย การยกให้จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าบิดายกทรัพย์ให้บุตรเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางสมาคมนิยมเป็นข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การยกที่พิพาทให้จำเลยไม่เป็นการให้โดยเสน่หาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคม ทั้งประเด็นที่ว่าการยกให้นี้ไม่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมไม่มีประเด็นในศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับเป็นว่านิติกรรมยกให้ไม่มีผลผูกพันส่วนของโจทก์ 1 ใน 3 ให้แบ่งที่พิพาทให้โจทก์ 1 ใน 3 หากไม่ตกลงในการแบ่ง ให้ประมูลหรือขายทอดตลาด จำเลยต้องรับผิดการจำนองฝ่ายเดียวโดยไม่ผูกพันโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าการยกที่พิพาทให้จำเลยผู้เป็นบุตร เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมอันเป็นข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1473(3) นั้นเอง ปัญหากฎหมายข้อนี้จึงถือว่าได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ศาลชั้นต้น จำเลยย่อมฎีกาในปัญหาข้อนี้ได้ และศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทมีราคา 100,000 บาท ทั้งขณะยกให้ไม่ปรากฏว่านายหะยีสะและมีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่น การที่นายหะยีสะและเอาสินสมรสระหว่างโจทก์และนายหะยีสะและ ไปยกให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรของภริยาอีกคนหนึ่งของนายหะยีสะและย่อมไม่ใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3)
พิพากษายืน