แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายกับพวกและจำเลยกับพวกดื่มสุราด้วยกันแล้วมีปากเสียงกันมีคนเข้าห้ามปรามจึงแยกย้ายกันไปหลังจากนั้นเมื่อพบกันมีการปรับความเข้าใจและมีปากเสียงกันอีกผู้เสียหายตบจำเลยที่บริเวณท้ายทอย1ทีพฤติการณ์ดังกล่าวไม่ร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกันประกอบกับจำเลยแทงผู้เสียหายในทันทีนั้นเพียง1ครั้งแล้วหลบหนีไปโดยไม่ได้แทงซ้ำอีกแม้จะแทงบริเวณหน้าอกข้างขวาใต้ราวนมอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายแต่บาดแผลของผู้เสียหายมีเพียงเลือดออกในผนังหน้าอกไม่ได้ลึกถึงอวัยวะสำคัญแสดงว่าจำเลยไม่ได้แทงอย่างแรงกรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายต้องพักรักษาตัวเกินกว่า20วันจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297(8) การที่ผู้เสียหายตบจำเลยที่บริเวณท้ายทอย1ทียังไม่พอจะถือว่าเป็นการหยามหน้ากันอันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมที่จำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายจึงไม่ใช่เพราะเหตุบันดาลโทสะ
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 297, 33 และ ริบของกลาง
จำเลย ให้การ ปฎิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) จำคุก 2 ปี จำเลย ให้การรับสารภาพ ชั้น จับกุม และชั้นสอบสวน เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษให้ หนึ่ง ใน สาม ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คง จำคุก 1 ปี 4 เดือนจำเลย ชดใช้ ค่าเสียหาย เป็น เงิน 15,000 บาท ผู้เสียหาย ไม่ติดใจ ดำเนินคดี และ ไม่ ปรากฎ ว่า จำเลย เคย ต้องโทษ จำคุก มา ก่อน เห็นควร ให้โอกาส จำเลย โทษ จำคุก ให้ รอการลงโทษ ไว้ มี กำหนด 2 ปี ริบของกลาง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี คำให้การรับสารภาพ ของ จำเลย ใน ชั้นสอบสวน เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณามีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สาม ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คง จำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบ เหล็กขูดชาฟท์ ของกลาง
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า เหตุ เกิด เพราะ ผู้เสียหาย กับพวก และ จำเลยกับพวก ดื่ม สุรา ด้วยกัน แล้ว มี ปาก เสียง กัน มี คน เขา ห้ามปรามจึง แยก ย้าย กัน ไป หลังจาก นั้น เมื่อ พบ กัน มี การ ปรับ ความ เข้าใจ และมี ปาก เสียง กัน อีก ผู้เสียหาย ได้ ตบ จำเลย ที่ บริเวณ ท้ายทอย 1 ทีพฤติการณ์ ดังกล่าว ไม่ ร้ายแรง ถึง กับ จะ ต้อง เอา ชีวิต กัน ประกอบ กับ จำเลยแทง ผู้เสียหาย ใน ทันที นั้น เพียง 1 ครั้ง แล้ว หลบหนี ไป โดย ไม่ได้แทง ซ้ำ อีก แม้ จะ แทง บริเวณ หน้าอก ข้าง ขวา ใต้ ราวนม อันเป็น อวัยวะสำคัญ ของ ร่างกาย แต่ บาดแผล ของ ผู้เสียหาย เพียง มี เลือดออก ในผนัง หน้าอก ไม่ได้ ลึก ถึง อวัยวะ สำคัญ แสดง ว่า จำเลย ไม่ได้ แทง อย่าง แรงกรณี จึง ยัง ถือไม่ได้ว่า จำเลย มี เจตนาฆ่า ผู้เสียหาย ที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ฐาน พยายามฆ่า ผู้เสียหายไม่ต้อง ด้วย ความเห็น ของ ศาลฎีกา จำเลย คง มี ความผิด ฐาน ทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหาย เป็นเหตุ ให้ ได้รับ อันตรายสาหัส ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น และ การ ที่ ผู้เสียหาย ตบจำเลย ที่ บริเวณ ท้ายทอย 1 ที ดังกล่าว ยัง ไม่พอ จะ ถือว่า เป็น การ หยามหน้า กัน อันเป็น การ ข่มเหง จำเลย อย่างร้ายแรง ด้วย เหตุ อัน ไม่เป็นธรรมตาม ฎีกา ของ จำเลย ที่ จำเลย ใช้ เหล็กขูดชาฟท์ แทง ผู้เสียหาย จึง ไม่ใช่เพราะ เหตุ บันดาลโทสะ
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ บังคับคดี ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น