คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าสามีโจทก์นำสินสมรสไปยกให้จำเลยโดยเสน่หา โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือ ขอให้เพิกถอนเฉพาะส่วนของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นสินสมรสระหว่างสามีโจทก์และมารดาจำเลย จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการยกให้นี้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางสมาคมนิยมเป็นข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 ดังนี้ถือว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการยกให้เป็นกรให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมหรือไม่นี้ ได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อนี้ได้
การยกที่ดิน 3 แปลงราคา 100,000 บาท อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ให้บุตรของสามีโจทก์อันเกิดแต่ภริยาอีกคนหนึ่ง โดยในขณะยกให้ไม่ปรากฏว่าผู้ยกให้มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ย่อมไม่ใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหะยีสะและซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ก่อนถึงแก่กรรมนายหะยีสะและได้ยกที่ดินสินสมรส ๓ แปลงให้จำเลยโดยเสน่หา โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือ จำเลยได้นำที่ดินบางแปลงไปจำนองผู้มีชื่อ จึงขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกให้ที่ดินทั้ง ๓ แปลงเป็นโมฆะเฉพาะ ๑ ใน ๓ ส่วนอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และนิติกรรมจำนองที่ดินไม่ผูกพันที่ดินเฉพาะ ๑ ใน ๓ ส่วนอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ขอให้จำเลยแบ่งที่ดิน ๓ แปลงให้โจทก์ ๑ ใน ๓ ถ้าไม่สามารถแบ่งกันได้ ให้ขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ ๑ ใน ๓
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์แยกทางกับนายหะยีสะและแล้ว ทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายหะยีสะและกับนางเพียวมารดาจำเลย การยกให้จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าบิดายกทรัพย์ให้บุตรเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางสมาคมนิยมเป็นข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๓ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การยกที่พิพาทให้จำเลยไม่เป็นการให้โดยเสน่หาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมทั้งประเด็นที่ว่าการยกให้นี้ไม่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีรธรรมอันดีหรือในทางสมาคม ไม่มีประเด็นในศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับเป็นว่านิติกรรมยกให้ไม่มีผลผูกพันส่วนของโจทก์ ๑ ใน ๓ ให้แบ่งที่พิพาทให้โจทก์ ๑ ใน ๓ หากไม่ตกลงในการแบ่ง ให้ประมูลหรือขายทอดตลาด จำเลยต้องับผิดการจำนองฝ่ายเดียวโอยไม่ผูกพันโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าการยกที่พิพาทให้จำเลยผู้เป็นบุตร เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมอันเป็นข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๗๓(๓) นั้นเอง ปัญหากฎหมายข้อนี้จึงถือว่าได้ยกขึ้นกันมาแล้วแต่ศาลชั้นต้น จำเลยย่อมฎีกาในปัญหาข้อนี้ได้ และศาลฎีกาเห็นฯว่าที่พิพาทมีราคา ๑๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งขณะยกให้ไม่ปรากฏว่านายหะยีสะและมีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่น การที่นายหะยีสะและเอาสินสมรสระหว่างโจทก์และนายหะยีะสะและไปยกให้จำเลยซึ่งเป็นบุรของภริยาอีกคนหนึ่งของนายหะยีสะและ ย่อมไม่ใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคม ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑+๗๓(๓)
พิพากษายืน.

Share