แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายถูกคนร้ายชิงทรัพย์ ผู้เสียหายเบิกความในคดีนี้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ตีศรีษะ และใช้มีดจี้ปลดทรัพย์ของผู้เสียหายระหว่างพิจารณาคดีนี้ในศาลอุทธรณ์ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม ส.กล่าวหาว่าเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ผู้เสียหายในวันเวลาเดียวกันกับคดีนี้ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้อง ส. เป็นจำเลยในข้อหาเดียวกันกับคดีนี้ ส. ให้การรับสารภาพ ผู้เสียหายเบิกความในคดีดังกล่าวว่าส. เป็นคนร้ายกระทำการเช่นเดียวกับที่เบิกความว่าจำเลยคดีนี้กระทำในขณะเดียวกัน เมื่อศาลคดีดังกล่าวฟังว่า ส. เป็นคนร้ายและพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดแล้ว ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายคดีนี้จึงฟังไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 340 ตรี, 83 กับริบของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยไม่ได้ให้การแต่นำสืบปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 340 ตรี จำคุก 24 ปี ให้จำเลยคืนทรัพย์หรือใช้ราคาแก่เจ้าทรัพย์ ไม้ของกลางยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าได้ใช้ในการกระทำผิดจึงไม่ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสามจำคุก 16 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยเป็นคนร้ายในคดีเรื่องนี้หรือไม่ โจทก์มีนายพล ศักดิ์ทวีกุลกิจ ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นคนร้ายที่ถือมีดยาวศอกเศษเข้าไปหาผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายถูกคนร้ายตีศรีษะล้มลงนอนหงายอยู่ที่บริเวณท้ายรถผู้เสียหาย จำเลยเอามีดจ่อบริเวณหน้าอกผู้เสียหายแล้วปลดนาฬิกาข้อมือ ถอดสร้อยคอและรูดแหวนที่นิ้วผู้เสียหาย แต่ถอดแหวนไม่ออก ผู้เสียหายกลัวจะถูกตัดนิ้วจึงถอดแหวนให้จำเลย จำเลยค้นเอากุญแจและเงินสด 100 บาทเศษจากกระเป๋าผู้เสียหาย จากนั้นแล้วจำเลยเข้าไปเอากระเป๋าเงินในรถไปอีก รวมเป็นเงินที่จำเลยเอาไป 1,600 บาท จำเลยไปถอดกุญแจรถแล้วหลบหนีไปผู้เสียหายนอนมึนงงอยู่ประมาณ 5 นาที ก็ลุกขึ้นไปบอกเหตุแก่นายสมบูรณ์ในวิทยาลัย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้พยานโจทก์มีผู้เสียหายเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย แต่ผู้เสียหายก็ถูกคนร้ายตีที่ศรีษะถึง 3 ทีก่อนจะเห็นหน้าคนร้าย นายแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายสันนิษฐานว่าฐานกะโหลกศีรษะร้าว แสดงว่าผู้เสียหายถูกตีอย่างรุนแรง แม้คนร้ายหลบหนีไปแล้วผู้เสียหายยังมีอาการมึนงงอยู่ ต้องนอนพักถึง 5 นาทีจึงลุกขึ้นมาได้ จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนและจำได้ว่าเป็นจำเลยนอกจากนี้นายดาบตำรวจอุดม วินโกเมนทร์ พยานโจทก์ซึ่งไปสอบถามผู้เสียหายในวันรุ่งขึ้นก็ให้การในชั้นสอบสวนว่า ผู้เสียหายว่าคนร้ายรูปร่างคล้ายจำเลยซึ่งผู้เสียหายพบที่ร้านอาหาร เมื่อนำตัวจำเลยไปให้ดู ผู้เสียหายบอกว่ารูปร่างเหมือนคนร้ายที่ตีและใช้มีดจี้ ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นคนร้ายจึงชี้ให้จับกุม แสดงว่าผู้เสียหายอาจเห็นเพียงรูปร่างของคนร้ายว่าคล้ายจำเลยเท่านั้นทั้งยังปรากฏว่าระหว่างพิจารณาคดีนี้ในศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่28 ตุลาคม 2528 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายสุนันท์หรือตุ๊ บุญเฉยกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายชิงทรัพย์นายสมพล ศักดิ์ทวีกุลกิจ ผู้เสียหายในวันเวลาเดียวกันกับคดีนี้ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องนายสุนันท์หรือตุ๊บุญเฉย เป็นจำเลยในข้อหาเดียวกันกับคดีนี้ ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 764/2529 ของศาลชั้นต้น นายสุนันท์ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์แล้วมีคำพิพากษาลงวันที่ 27 มีนาคม 2529 ลงโทษนายสุนันท์คดีถึงที่สุดแล้ว ในคดีอาญาดังกล่าวโจทก์นำนายสมพลศักดิ์ทวีกุลกิจ ผู้เสียหายในคดีนี้และคดีดังกล่าวเบิกความเป็นพยานว่า นายสุนันท์เป็นคนร้ายถือมีดยาวประมาณ 1 ศอกเข้ามาจี้ขู่เอาทรัพย์แล้วนายสุนันท์ปลดเอานาฬิกา สร้อยคอทองคำ และแหวนของผู้เสียหายไป จากนั้นนายสุนันท์ค้นผู้เสียหายเอาเงินประมาณ 100 บาทแล้วค้นเอากระเป๋าใส่เงินไปอีกรวมเงินที่เอาไปประมาณ 1,600 บาทนายสุนันท์ดับเครื่องยนต์เอากุญแจรถแล้วหลบหนีไป ผู้เสียหายเบิกความในคดีดังกล่าวว่านายสุนันท์เป็นคนร้ายกระทำการเช่นเดียวกับที่เบิกความว่าจำเลยคดีนี้กระทำในขณะเดียวกัน เมื่อศาลคดีดังกล่าวฟังว่านายสุนันท์เป็นคนร้ายและพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายคดีนี้จึงรับฟังไม่ได้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์”.