คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หญิงที่ทำนาของบิดามารดามาก่อนแต่ได้รับโอนโฉนดใส่ชื่อตนเมื่อภายหลังได้กับสามี ดังนี้ถือว่าที่ดินนั้นเป็นสินสมรสและสินบริคณห์ หากภรรยาเอาไปโอนโดยสามีมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยนิติกรรมเป็นโมฆียะ เมื่อสามีบอกล้างแล้วเป็นโมฆะ และสามีย่อมฟ้องทำลายสัญญาโอนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนางรวยเป็นสามีภริยากันมา 30 ปีแล้ว เมื่อ 20 ปีมานี้ อ.กับ พ.ได้ยกที่นาพิพาทมีโฉนดให้โจทก์กับนางรวยต่อมานางรวยได้โอนขายนารายนี้ให้จำเลยเพียง 500 บาทโดยสมยอมกันโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมและได้บอกล้างแล้ว ขอให้ทำลายนิติกรรมจำเลยต่อสู้หลายประการได้ความว่า นางรวยได้ทำนาพิพาทของบิดามารดามาก่อน บิดามารดานางรวยได้แยกโฉนดโอนใส่ชื่อนางรวยภายหลังที่ได้กับโจทก์ จำเลยเป็นผู้ที่นางรวยเอามาเลี้ยงแต่เล็ก ๆ และได้อยู่กับนางรวยจนบัดนี้

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรสและสินบริคณห์ระหว่างโจทก์และนางรวย ๆ เอาไปขายโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ เป็นโมฆียะ เมื่อโจทก์บอกล้างแล้วจึงเป็นโมฆะ ให้ทำลายสัญญาโอน คืนสู่ฐานะเดิม

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นางรวยทำนาในที่ดินของบิดามารดานั้นไม่ได้ทำให้นางรวยได้กรรมสิทธิ์แต่อย่างไร นางรวยเพิ่งได้กรรมสิทธิ์เมื่อโอนใส่ชื่อนางรวยในโฉนดอันเป็นเวลาภายหลังที่เป็นภรรยาโจทก์แล้ว ที่ดินนั้นเป็นสินสมรสและเป็นสินบริคณห์ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้สละทิ้งนางรวย จำเลยได้รับโอนที่พิพาทจากนางรวยโดยไม่สุจริต เห็นพ้องกับศาลล่างทั้งสอง

พิพากษายืน

Share